วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557

คุณจะทำอย่างไร ? ถ้ามีคนมาบอกว่า "พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือ ญาติ " ของคุณเป็น เปรต !!

เปรด เป็นหนึ่งในอบายภูมิ
    ชาวพุทธ ทราบกันดีว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว  ทำดีแล้วตายไปก็จะไปเกิดในที่ดีๆ เช่น สวรรค์ชั้นต่างๆ หรือกลับมาเกิดเป็นมนุษย์  แต่ถ้าทำชั่วแล้วก็มีที่ให้ไปเกิดหลายแห่งด้วยกัน เช่น เป็นเปรต ,อสุรกาย,สัตว์เดรัสฉาน, สัตว์นรกขุมต่างๆ  หรือเกิดมาเป็นมนุษย์แต่พิกล พิการ มีโรคภัยมากมายติดตัวมาแต่เกิด เป็นต้น

    ผมเคยได้ยินทีวี โทรทัศน์ หนังสือ นิยาย กล่าวถึงเรื่องเปรต ที่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับความโลภ โดยเฉพาะ การลักขโมยของสงฆ์ ของวัด โดยจะรู้หรือไม่รู้เท่าถึงกาลก็แล้วแต่  พอตายไปแล้วก็จะกลายเป็นเปรต หรือแม้แต่พวกที่ด่าทอพ่อแม่ ทุบตีพ่อแม่ ตายไปแล้วก็จะเป็นเปรต ตัวสูง มีมือเท่าใบพาย  และอีกหลายๆเปรต  ซึ่งล้วนทำบาปมาแล้วในตอนทีชีวิต

    และในเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเปรต มักจะมีคนพบเจออยู่เสมอ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีญาณวิเศษหรือไม่ แต่ถ้าวันและเวลามาบรรจบโดยบังเอิญ ก็จะสามารถพบเห็นได้  ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนรู้จัก หรือญาติพี่น้อง ของผู้ที่เป็นเปรต ที่จะได้พบเจอ เพราะเปรตนั้นส่วนใหญ่แล้วดำรงชีพด้วยการขอส่วนบุญของผู้อื่นโดยเฉพาะจากญาติพี่น้องของตน  และนั่นก็คือสิ่งที่อยากจะพูดคุยกันในวันนี้

    ผมขอสมมติ(ไม่ใช่เรื่องจริง) ว่า หากมีคนมาบอกว่า  "พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือ ญาติ " ของคุณเป็น เปรต !!  หรือเห็นเปรตหน้าตาเหมือนกับคนในครอบครัวของเราที่ได้เสียชีวิตไป  หรืออาจจะฝันไปเจอ หรือเจอจังๆก็แล้วแต่  แล้วเค้าหวังดี จึงมาบอกคุณ คุณจะ ....?

1. ไม่เชื่อ !! และด่าว่าคนที่มาบอกทันที เพราะมากล่าวหาญาติฉัน ได้ยังไง ? (โกรธมาก)
2. ไม่เชื่อ !! แต่ก็เฉยๆ คิดว่าคนมาบอกเพี๊ยน  บ้ารึเปล่าว่ะ (โกรธนิดๆแต่ไม่แสดงออก)
3. เชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง  แต่ค่อนข้างไปที่ไม่เชื่อมากกว่า
4. เชื่อ และพยายามเสาะหาพระ ,ครูบาอาจารย์ที่มีคุณวิเศษช่วยเหลือ
5. ยังไม่เชื่อ แต่พยายามเสาะหาพระ, ครูบาอาจารย์ที่มีคุณวิเศษช่วยเหลือ

>> แต่ผมขอตอบได้เลยครับว่า หากคุณเป็นปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป 90% จะเป็นไปตามของ 1 ครับ
แม้ว่าจะมีหลายเรื่องราวที่ได้จดบันทึกไว้ว่า แม้แต่พระสงฆ์ที่ท่านทรงวิทยาคุณ ไปบอกญาติโยม เพราะความหวังดี ยังถูกต่อว่ากลับมานักต่อนักแล้ว นับภาษาอะไร กับคนทั่วไป


แต่ท่านลองมาวิเคราะห์ให้ดีๆก่อนที่จะเชื่อ หรือไม่เชื่อ โกรธหรือไม่โกรธกันดีกว่า...

     1.คนเราทุกคนมีโอกาศที่จะทำผิดพลาดได้ โดยที่รู้เท่าไม่ถึงกาล แม้ไม่เจตนาแต่ กรรมก็คือกรรมที่ได้ทำไปแล้วในขณะที่มีชีวิต  บางคนทำชั่วชัดเจนแต่ญาติพี่น้องยังพยายามเข้าข้างแม้เขาจะตายไปแล้วก็ยังเข้าข้างอยู่ เพราะไอ่คำว่าญาติกู  พ่อกู แม่กู พี่น้องกู มันมาบดบังความจริงไปซะหมด  ซึ่งกรณีหลังนี้หากมีคนพบเห็นว่าเป็นเปรต ก็มีน้ำหนักมากขึ้น  แต่ก็อย่างว่า สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น จะให้เชื่อเลยนั้นย่อมเป็นไปได้ยาก

    2.คนที่มาบอกว่าญาติเราเป็นเปรต เค้าต้องรู้อยู่แล้วล่ะว่า เราต้องโกรธเค้าแน่ๆ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย แต่ที่เค้ามาบอกเรานั้น ถือว่าเค้าหวังดีกับเรา กับญาติพี่น้องเราครับ จะจริงหรือไม่จริงมันอีกเรื่องหนึ่ง

    3.การที่เราเชื่อหรือไม่ ? อาจจะไม่สำคัญ ยังไงการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ย่อมดีอยู่แล้ว เพราะถ้าญาติพี่น้องเราพลาดพลั้งตายไป เกิดเป็นเปรต เราก็ควรเร่งทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้อย่างดี อย่างมาก อย่างเยอะๆ  แต่ถ้าหากญาติเราไม่ได้เป็นเปรตอย่างที่เค้าบอกมา การที่เราทำบุญ ผลบุญนั้นก็จะส่งให้ถึงญาติเราไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิไหนก็ตาม และผลบุญนั้นก็จะกลับคืนมาสู่ตัวเราเองอีกด้วย การทำบุญไม่ว่าแบบไหน ย่อมดีเสมอ.

    4.ถ้าท่านอยากทราบจริงๆว่าญาติของท่าน ตายไปแล้วตกสู่อบายภูมิ เปรตภูมิหรือไม่ ? ท่านคงต้องไปถามผู้ที่มีคุณวิเศษ หรือพระสงฆ์ผู้มีคุณวิเศษแล้วละครับ คนธรรมดาคงไม่มีใครทราบได้  แต่ถ้าลองนึกดูดีๆ แม้ท่านจะทราบชัดเจนว่าญาติพี่น้องท่านเป็นเปรตจริง  ท่านก็จะต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้อยู่ดี  ดังนั้นแม้ไม่ทราบแน่ชัด เราก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เลยก็ได้โดยไม่ต้องรอให้ทราบ  โดยที่เราสามารถปรึกษาพระสงฆ์ได้ครับว่าเราควรจะทำบุญอย่างไรดี ในกรณีนี้

        ทั้งหมดทั้ง 4 ข้อที่ผ่านมา คือบทวิเคราะห์... ด้วยเหตุและผล  แต่ถ้าท่านเป็นคนๆหนึ่งที่เจอเหตุการณ์นี้แล้วเลือกข้อ 1 (ในด้านบน) เราลองมาวิเคราะห์ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในกรณีนี้..

"ไม่เชื่อ !! และด่าว่าคนที่มาบอกทันที เพราะมากล่าวหาญาติฉัน ได้ยังไง ? (โกรธมาก)"

สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ..
1.คุณโกรธคนที่มาบอกเรา
2.เพราะคุณไม่เชื่อเด็ดขาด คุณจึงไม่ได้ดำเนินการใดๆ เช่น ทำบุญ ดังนั้นอันดับแรก คุณไม่ได้บุญ
3.ถ้าญาติของคุณเป็นเปรตจริงๆตามที่เค้าบอกมา ญาติของคุณก็ยังคงต้องทุกข์ทรมานต่อไปในภพภูมิของเปรต เพราะไม่ได้รับส่วนบุญใดๆ จากคุณ
4.ถ้าญาติของคุณไม่ใช่เปรต แต่ไปเกิดในภพภูมิอื่นๆ ก็จะไม่ได้รับส่วนบุญใดๆ

     สรุป สุดท้ายว่า การทีมีคนเห็นเปรตนั้นเป็นเรื่องผิดปกติ แต่จะจริงหรือไม่นั้น อาจจะไม่สำคัญ แต่จงคิดเสมอว่า การที่มีคนมาพูดแบบนี้กับเรา ให้เราถือว่าเค้ามาเตือนเราให้เร่งทำบุญให้กับตัวเราเองและยังได้เผื่อแผ่ให้กับญาติพี่น้องของเราที่ได้ล่วงลับไปแล้วอีกด้วย หากเราคิดได้แบบนี้เราจะได้ประโยชน์ครับ

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

บันทึกประสบการณ์กรรม : ประสบการณ์ลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์

ภาพจาก supakchaya1.blogspot.com

     การลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใครๆก็กลัวทั้งนั้น ยกเว้นคนที่ "ไม่เชื่อแบบสนิทใจ" และ "คนที่ไม่รู้" ที่จะกล้าทำอะไรแบบนี้  ผมเองเคยเป็นคนหนึ่งที่ "ไม่รู้" และได้เคยลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยรู้เท่าไม่ถึงกาล โดยความคึกคะนอง โดยไม่ได้ยั้งคิด และผลที่ตามมานั้นจะเป็นอย่างไร ลองมาฟังดูครับ

     ในอดีตที่ผ่านมาแล้ว เมื่อผมอายุประมาณ 13-14 ปี อยู่ชั้นมัธยมต้น ทางโรงเรียนได้จัดให้มีการทัศนศึกษานอกสถานที่ โดยให้นักเรียนที่สนใจเข้าร่วมได้ โดยมีค่าใช้จ่ายบางส่วน (ไม่ได้ไปทุกคน) ทางโรงเรียนได้จัดสถานที่ที่จะไปอยู่แถวภาคกลาง ,กรุงเทพฯ และภาคตะวันตก ซึ่งสถานที่ที่ไปนั้น หลายแห่ง เช่น ท้องฟ้าจำลอง, เมืองเก่าอยุธยา, พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง และวัดสำคัญๆต่างๆ เป็นต้น

     รถบัสออกเดินทางตอนเย็น ไปถึงจุดหมาย ภาคกลางในตอนเช้า และแวะตามสถานที่สำคัญๆต่างๆ และหนึ่งในนั้น เป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่ง (ผมจำไม่ได้ว่าวัดอะไร เพราะนานมาแล้ว) แต่ที่ผมจำได้ชัดเจนเลยก็คือ วัดนั้น มีบ่อๆหนึ่งไว้สำหรับให้ผู้ที่มีจิตศรัทธาได้โยนเหรียญต่างๆ ใส่ให้ตรงกับที่ใส่เหรียญ หรือบาตร (ไม่แน่ใจ) ซึ่งบางคนก็โยนเข้าบ้าง โยนออกไปบ้าง เป็นธรรมดา (คล้ายๆในรูปครับ)

     และในบริเวณบ่อนั้น ได้มีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า "หมดทุกข์ หมดโศก หมดโรค หมดภัย" ซึ่งผมกับเพื่อนๆ พอได้โยนเหรียญเสร็จแล้ว ก็เหลือบไปเห็นป้ายดังกล่าว  ผมเลยปากไว ปากบอน บอกกับเพื่อนไปว่า "หมดทุกข์ หมดโศก หมดโรค หมดภัย และหมดสะตังค์ (คือโยนเหรียญหมด ก็หมดตังค์ไงครับ)" เพื่อนๆผมได้ยิน ก็หัวเราะชอบใจ  รวมทั้งตัวผมด้วย ก็สนุกสนาน เฮฮา ตามประสาเด็ก ไม่รู้เรื่องอะไร  ไม่รู้บาป ไม่รู้กรรม  หารู้ไม่ว่า ได้ไปลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียแล้ว !!

     เย็นวันเดียวกัน  คุณครูได้พาเด็กนักเรียนทั้งหมดไปพัก ที่ที่พักของราชการหรือของหลวง ที่ไหนสักแห่งผมจำไม่ได้ จำได้แต่ว่า เป็นห้องกว้าง เป็นห้องนอนรวม และทุกเตียงเป็นเตียงนอน 2 ชั้นทั้งหมด พอเข้าที่พักในเวลาประมาณ 18.00 น.ทุกคนก็แปรงฟัน อาบน้ำ กินข้าว ทำอะไรให้เรียบร้อย แล้วก็ไปนอนพักเตียงใครเตียงมัน ซึ่งผมนั้นนอนอยู่บนเตียงชั้น 2

     พอเวลาประมาณ 20.00 น. คุณครูก็บอกให้พวกเด็กๆเตรียมตัวนอนหลับพักผ่อน เก็บแรงไว้เที่ยวพรุ่งนี้ แต่มีเพื่อนผมคนหนึ่งบอกว่า เราไปเข้าห้องน้ำกันเถอะ  ในขณะนั้น เหมือนมีอะไรมาดลจิต ดลใจ ให้ผมไปตามคำชวนให้ได้  แม้ว่าจะไม่ได้ปวดฉี่ก็ตาม  ผมก็ตะโกนว่า "รอด้วย" และพยายามรีบลงจากเตียง 2 ชั้นให้เร็วที่สุด โดยทำเหมือนกับ พวกยิมนาสติก ที่เล่น บาคู่ เหวี่ยงตัวพยายามเอาเท้าไปเกี่ยวกับเตียงที่ติดกัน  แต่แล้ว... ไม่รู้ด้วยเหตุใด มือผมก็อ่อนแรงไปกระทันหัน ตัวทั้งตัวผม หล่นลงมาในสภาพขนานกับพื้น สูงถึง 2 เมตรกว่า(ความสูงเตียง) ในใจผมขณะนั้นคิดว่า เจ็บหนักแน่นอน เพราะไม่หัว ก็หลังจะต้องกระแทกพื้นแน่

     ขณะนั้นเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก ผมรู้สึกตัวอีกทีผมอยู่ในท่านั่งเหยียดขายาว 2 ข้าง  มือทั้ง 2 ข้างแนบกับลำตัว และผมเอาหลังมือทั้ง 2 ข้างกระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรง(การที่หล่นลงมาในท่านั้นแปลกมาก เพราะคนปกติจะใช้ฝ่ามือยันพื้นไว้ก่อน ตามสัญชาติญาณ เวลาตกจากที่สูง แต่ผมใช้หลังมือ) หลังจากได้ยินเสียง "ตุ๊บ" เพื่อนๆทั้งห้อง ก็ฮากันลั่น เต็มห้องเลยครับ จนรุ่นพี่หลายๆคนรีบเข้ามาดูเหตุการณ์

     ตอนแรกผมคิดว่าข้อมือทั้ง 2 ข้างของผม ต้องหักแล้วแน่ๆ มันชา มันปวด ขยับไม่ได้เลย ผมตกใจมากแต่ก็พยายามตั้งสติ และแข็งใจ รุ่นพี่หลายคนพยายามพยุงผมไปนอนที่เตียง (ชั้นล่าง แลกกับเพื่อน) ให้พยายามหายาหม่องมาทา และให้นอนพัก  ซึ่งตอนนี้รู้แล้วว่ากระดูกไม่ได้หัก แต่เริ่มปวด

     ผมนอนหลับไปทั้งอย่างนั้น พอตื่นเช้ามา ผมพยายามทำท่าทีว่าไม่เป็นอะไร เพราะกลัวเพื่อนล้อ และหัวเราะ  มือผมยังหยิบจับอะไรได้ แต่ไม่ค่อยมีแรงจับ และที่สำคัญเอามือลงแนบลำตัวไม่ได้  ถ้าเอามือลงจะรู้สึกปวดมากๆ  แต่ถ้ายกมือขึ้น(ทั้ง 2 ข้าง) จะไม่ปวด  ผมต้องยกมือค้างไว้ทั้ง 2 ข้าง เป็นที่แปลกตากับคนทั่วไปนัก  ผมรู้สึกในภายหลังว่า "นี่เป็นการประจาน สำหรับคนทำผิดอะไรมาสักอย่าง" จะหยิบจับอะไรก็ลำบาก ทั้งกินข้าว เข้าห้องน้ำ ซื้อของฯ และต้องไปทำกิจกรรมอีก 2 วัน 1 คืน มันทรมานจริงๆ

     ตลอดเวลาที่ทัศนศึกษา ผมไม่เคยคิดเลยว่าการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนั้น เป็นผลจากการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาจจะเป็นเพราะความเป็นเด็ก และไม่มีความรู้ในเรื่องประเภทนี้

     หลังจากที่ผมกลับมาถึงบ้านได้ประมาณ 5-6 วัน ซึ่งแน่นอนว่า มือทั้ง 2 ข้างของผม ยังไม่หายดี ยังปวดและมีอาการเหมือนเดิม เพียงแต่รอให้หายเองตามเวลา 

     แต่แล้วในคืนหนึ่ง ผมก็ได้ฝันไปว่า...ผมได้กลับไปอยู่ในเหตุการณ์วันนั้น วันที่ผมกับเพื่อนๆ ได้ไปโยนเหรียญในบ่อ และเหมือนจะมีเสียงที่ไม่ได้เปล่งออกมาเป็นคำพูด แต่ผมก็สามารถเข้าใจได้ว่า "นี่แหละ คือผลของการลบหลู่ ที่มือ แขนเป็นแบบนี้ ก็เพราะคำพูดที่ไม่คิด ไปพูดจาหลบหลู่ ท่านไม่ได้บังคับให้โยน ก็โยนเองนี่ มือไหนบ้างโยนเหรียญ โยนมาก ก็เจ็บมาก"  ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา.. แล้วก็พิจารณาในใจว่า ใช่แล้ว !! เพราะเราไปพูดจาแบบนั้น นั่นเอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงได้โกรธและลงโทษในสถานเบา ให้รู้จักหลาบจำ เพราะว่าการตกจากที่สูงขนาดนั้น น่าจะแขนหักไปแล้ว ซึ่งมือข้างขวา ผมใช้โยนเหรียญในวันนั้น จะเจ็บมากกว่า มือซ้ายที่ไม่ได้โยน ผมพึ่งมาสังเกตุเห็น !!

     ผมจึงก้มลงกราบกับที่นอนขณะนั้น พร้อมกับกล่าวคำขอขมาในใจว่า "ลูกสำนึกผิดแล้ว ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยกโทษให้ด้วยเถิด" หลังจากนั้นมาเหตุการณ์ก็ปกติดี และสิ่งที่เปลี่ยนแปลงผมมาตลอดคือ ผมไม่กล้าทำอะไรแผลงๆ แปลกๆ โดยไม่ดูกาละเทศะอีกต่อไป และเชื่ออย่างสนิทใจว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามสถานที่ต่างๆนั้น มีจริงแน่นอนครับ.


วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ประสบการณ์กรรม "กรรมของคนตกปลา"

คนตกปลา
     หากได้ขึ้นชื่อว่ากรรมชั่วแล้ว ย่อมไม่ดีอย่างแน่นอน แต่บางครั้งสิ่งที่เราเห็นผู้คนมากมายทำอยู่ทุกวันอย่างปกติ เราอาจจะคิดว่าคงไม่ใช่ "กรรมชั่ว" เพราะใครๆเขาก็ทำกัน และไม่เห็นว่าใครจะเป็นอะไร

     แต่การเบียดเบียนสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ย่อมผิดศีล ชาวพุทธส่วนใหญ่ทราบดี แต่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถทำได้ 100% เพราะชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ มันช่างล่อแหลมต่อการผิดศีลซะเหลือเกิน(ขอพูดถึงศึลข้อที่1) อย่าง มด ยุง นี่เราก็ตบ ก็บี้ตาย กันแทบทุกวัน  ไม่ตีมัน มันก็กัดเรา อะไรประมาณนั้น ซึ่งผมเองก็ไม่ต่างกัน  แต่ก็จะพยามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้

     วันนี้จึงอยากจะเล่าเรื่องของผมเอง ที่เกี่ยวกับการตกปลา หรือเบียดเบียนชีวิตปลา ในอดีตที่ผ่านมาว่าผมได้รับผลกรรมอะไรบ้าง เพื่อเป็นอุทาหรณ์ ให้แก่ผู้ที่ยังชื่นชอบตกปลาอยู่

     ในวัยเด็กของผมเติบโตเหมือนกับเด็กชาวบ้านธรรมดา เกิดมาในพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว นิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่จำความได้ คือ ชอบตกปลา  แต่จะชอบในการใช้เบ็ด มากที่สุด รองลงไปก็อาจจะเป็น "ยอ"  และถ้าจะถามว่าอะไรทำให้ผมชอบตกปลา.....  ผมเคยถามตัวเองเหมือนกันว่าเพราะอะไร ?  และคำตอบที่ได้คือ ความท้าทาย ความที่เราต้องลุ้นว่า เราจะได้ปลาอะไร  ตัวใหญ่หรือไม่  ซึ่งพอตกมาได้แล้ว ก็จะรู้สึกภูมิใจว่าเรานี่เก่ง.

     ผมตกปลาตั้งแต่ 5-6 ขวบ และไม่เคยมีความคิดว่าจะตกปลามากิน  ผมตกปลามาได้ ก็เอามาขังไว้บ้าง ปล่อยบ้าง เอาไปเป็นเหยื่อปลาตัวอื่นๆบ้าง น้อยครั้งที่จะเอามารับประทานเป็นอาหาร และยังมีบางครั้งที่เอาปลามาทรมานเล่น ซึ่งทำให้ผมรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้

     นอกจากจะชอบตกปลา จับปลาแล้ว ก็ยังชอบเลี้ยงปลาอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นปลาสวยงาม หรือปลาที่ใช้เป็นอาหาร เช่น ปลาดุก ปลาช่อน   ซึ่งสำหรับปลาสวยงามนั้น มักจะตายโดยสาเหตุต่างๆ เช่น น้ำขุ่น ปลากัดกันตาย ซึ่งแม้จะเลี้ยงหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่รอด  และพวกปลาดุก ปลาช่อน ก็เลี้ยงเอาไว้จะให้มันโต  แต่ก็ไม่เคยได้กินพวกมันสักที เพราะมักจะตายหมด

     กลับมาที่เรื่องตกปลา ผมมักจะหาเวลาว่างไปตกปลาอยู่เสมอๆ กับเพื่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ที่เค้าบอกว่ามีปลาเยอะ ปลานั้น ปลานี้ ก็ไปกันตลอด  เช่น เลิกเรียนตอนเย็น  เสาร์อาทิตย์ ได้บ้าง  ไม่ได้บ้าง แล้วแต่วัน  แต่ส่วนใหญ่ปลาที่ได้  ไม่เคยเอามากิน  เรียกได้ว่าแค่ตกเล่นๆเท่านั้น  แต่ปลานั้นก็ตายซะส่วนใหญ่  มีน้อยมากที่ถูกปล่อยลงน้ำ

     และก็มาถึงการทรมานปลา โดยความไม่รู้เท่าถึงกาลของกระผม เนื่องจากเวลานั้น ยังเด็ก ยังไม่รู้ปะสีปะสาอะไร ทำไปด้วยความสนุก คะนอง ไม่เคยคิดถึงผลกรรมที่จะตามมาในอนาคต   ในตอนเด็กในวัยประถม-มัธยมต้น โดยเฉพาะถดูของการเฉลิมฉลองเทศกาลลอยกระทง  มักจะมีการจุดประทัดกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งในอดีตนั้น มีการจุดกันอย่างไม่มีใครห้าม เหมือนปัจจุบันนี้  ผมชอบเอาปลาที่ตกมาได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปลาหมอ  นำมามัดติดกับประทัดขนาดต่างๆ แล้วจุด  บางครั้งก็เอาประทัดยัดปากปลาแล้วจุด ซึ่งก็เล่นกันอย่างนี้  ด้วยความรู้สึกในตอนนั้นคือเรามีอุปกรณ์ที่จะทำลายอะไรก็ได้(ประทัด) และก็ต้องหาอะไรทำลาย(ปลา) ถ้าหากปลาถูกระเบิดจากประทัด มันเป็นการแสดงศักยภาพของประทัดนั้นๆว่าจะรุนแรงแค่ไหน  ในตอนนั้นผมไม่รู้สึกถึงบาปกรรมอะไรเลย  ได้แต่เล่นสนุกเท่านั้น

     และแล้วก็มาถึงวันที่ผมต้องรับผลกรรมจากการใช้ประทัดทรมานปลา และยัดปากปลาแล้วจุดประทัด ซึ่งวันนั้นเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง ซึ่งผมจำได้ว่าผมอยู่ในช่วงมัธยมต้น ผมขี่จักรยานไปบ้านเพื่อนตามปกติ พอไปถึงบ้านเพื่อน ก็เจอเพื่อนๆคุยกัน  ผมก็ขี่เข้าไปแต่ไม่คิดจะลงจากรถจักรยาน คิดเพียงแต่ว่าจะเอาเท้ายันตอไม้เพื่อไม่ให้จักรยานล้ม โดยที่ผมก็คุยกับเพื่อนๆไปด้วย แต่ทันใดนั้น  เท้าที่ยันเพื่อทรงตัวไว้ ก็เกิดลื่น ผมก็เสียหลักเอา"ปาก" ไปฟาดกับอะไรบางอย่างที่เป็นของแข็ง ซึ่งผมเจ็บปวดมากๆ โดยเฉพาะริมฝีปากล่าง บวมและมีเลือดออก ผมจึงกลั้นใจกลบเกลื่อนเพื่อนๆแล้วขอตัวกลับบ้านทันที

     ขณะที่ปากฟาดลงไป จนถึงขณะพยายามขี่จักรยานกลับบ้าน มันมีความเจ็บปวดทรมานมากๆ จนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว และภาพๆหนึ่งก็ปรากฏในหัวสมอง เป็นภาพของ "ปลา" ที่ถูกเอาประทัดยัดปากแล้วจุดให้ระเบิด ตูม !!  อ่า  หรือนี่จะเป็นกรรมที่เราได้ทำไว้กับปลาพวกนั้น  ผมคิดในใจ  เมื่อกลับถึงบ้าน พ่อแม่ก็ใส่ยาให้ ปฐมพยาบาลให้ อาการก็ดีขึ้นนิดหน่อย  แต่ก็ยังเจ็บปวดทรมานมาก กินอะไรก็ไม่ค่อยได้ มันปวด มันบวม และที่สำคัญ ริมฝีปากด้านล่างของผมมันบวมขึ้นจนเห็นได้ชัดเจน ส่วนอาการปวดนั้น เป็นอยู่ 1 อาทิตย์เต็มๆจึงหาย แต่.......  ริมฝีปากด้านล่างของผมนั้น ขนาดมันไม่เท่าเดิมครับ คือ มันเหมือนบวมๆตลอดเวลา (น้อยกว่าตอนเป็นใหม่ๆ แต่ใหญ่ตอนก่อนที่จะเจ็บ) แต่ไม่เจ็บแล้ว และเป็นอย่างนั้นจนถึงทุกวันนี้ครับ

     เรื่องยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ เพราะผมยังไม่ได้เลิกตกปลา แต่เลิกทรมานปลาแล้ว  แต่การตกปลาของผมก็ลดลง แต่ไม่เลิก  มีโอกาสเหมาะๆก็ยังไปตกปลาอยู่  ซึ่งตอนนั้นผมมักจะมีอาการอย่างหนึ่งเสมอๆ คือ เป็นโรคปากนกกระจอก คือ ที่มุมปากเป็นแผล ซึ่งผมเป็นบ่อยมากๆ  ไปหาหมอๆก็บอกว่าขาดวิตามิน B2 ให้กินผักมากๆ  แต่ผมเป็นคนที่กินผักอยู่แล้ว ก็ไม่ทราบว่าทำไมถึงเป็นโรคนี้ได้  ผมมักจะมีอาการโรคเลือดออกตามไรฟัน หรือ โรคลักปิดลักเปิด อยู่เสมอๆ ทั้งๆที่อาหารแต่ละชนิดที่ผมกินมักจะไม่ขาดวิตามิน C อย่างแน่นอน   รวมถึงแผลร้อนใน ในปากของผม พบได้บ่อยมากๆ เป็นๆหายๆอยู่เสมอจนต้องมียาป้ายปากติดบ้านตลอด

     สำหรับโรคสุดฮิตของผมเลย ก็คือ โรคเจ็บคอ คออักเสบ ทอลซิลอักเสบ ไม่ว่าจะแปรงฟันเช้าเย็นตอลด ดูแลช่องปากได้ดีแค่ไหน ก็ยังเจอกับโรคนี้เสมอๆ จนตอนเด็กๆ หมอที่คลีนิคประจำ ไม่ต้องตรวจ แค่เดินเข้าไปก็ทราบแล้วว่ามาเพราะอะไร !!  หรือนี่จะเป็นเรื่องของกรรม !!

     ยังไม่หมดครับ ยังไม่หมด !! เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ฟันต่างๆของผมที่ถูกเปลี่ยนผ่านจากฟันน้ำนม มาเป็นฟันแท้  ในฟันด้านซ้าย ทั้งบน ทั้งล่าง ตรงฟันฉีก หรือบางคนเรียกเขี้ยวหมา ของผมมีลักษณะพิเศษ คือ ฟัน 2 ซี่นี้ จะไม่สามารถทำให้มันไปสบกับฟันซี่อื่นๆเลยในบริเวณใกล้เคียง นอกจากฟันทั้ง 2 ซี่นี้เท่านั้นที่จะมีโอกาสแตะกันได้ และหลายๆครั้งที่รับประทานอาหาร ฟันทั้ง 2 ซี่นี้มักจะกัดถูกกระพุ้งแก้มบ้าง กัดถูกริมฝีปากด้านในบ้างเป็นประจำ ทำให้เป็นแผลอยู่บ่อยครั้ง  เวลาเป็นแผลก็ทรมาน กินอะไรก็ลำบาก ทั้งเจ็บ ทั้งปวด  ซึ่งถึงตรงนี้ ผมเริ่มคิดแล้วว่าอาจจะเป็นกรรมของผมที่เคยทำไว้กับปลา

     และแล้วก็ใกล้จะถึงวันที่ผมจะเลิกตกปลา  วันนั้นเป็นวันพระใหญ่ ถ้าจำไม่ผิดเป็นวัน "อาสฬหบูชา" ซึ่งขณะนั้นผมไม่ทราบว่าเป็นวันพระด้วยซ้ำ  วันนั้นมีอะไรไปดลใจผมก็ไม่ทราบว่า "อยากตกปลา" สายๆผมก็เตรียมเบ็ดพร้อมกับอุปกรณ์ที่จะไปตกปลา "คนเดียว" แต่ผมชวนใคร ก็ไม่มีใครไป (แต่ก็ไม่มีใครบอกผมว่าเป็นวันพระใหญ่  งง) ผมก็เลยไปคนเดียวโดยขี่จักรยานยนต์ไป ที่อ่างเก็บน้ำแห่งหนึ่งที่มีคนมาตกปลาเป็นประจำ  พอผมขี่รถเข้าไปหาที่ตกปลา  ก็ไม่พบคนมาตกปลาเลย ก็รู้สึกแปลกใจมาก แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร  ก็เดินไปหาทำเล ที่จะตกปลา จนไปเจอกับคนๆหนึ่ง น่าจะเป็นชาวบ้านที่มาตกปลาอยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่ทันที่ผมจะลงมือตกปลา ชาวบ้านคนนั้นก็พูดลอยๆว่า ปลาไม่กินเบ็ดเลย เลิกดีกว่า แล้วก็เก็บข้าวของกลับไป  ผมก็รู้สึก งงๆ  แต่ก็ยังลองตกอยู่สักพัก แต่ไม่นาน ก็ไม่มีวี่แววว่าปลาจะกินเบ็ดเลยจริงๆ  ผมก็เลยกลับบ้าน ระหว่างที่กลับบ้านก็แวะหาร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางกิน คนในร้านเห็นผมมีเบ็ดมาด้วย ก็เลยทักว่า "นี่น้องจะไปไหน เอาเบ็ดมาด้วย จะไปตกปลาเหรอ"  ผมก็ตอบว่า ครับ  เค้าเลยตอบผมมาว่า "วันนี้น้องไม่เว้นไว้สักวันหนึ่งเหรอ วันนี้วันพระใหญ่นะ"  ผมสะดุ้ง !! และคิดในใจว่า นานแล้วที่ไม่ได้ตกปลา แต่ทำไมวันนี้ถึงอยากตกปลานัก เกือบทำบาปวันพระแล้วสิเรา

     หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ตกปลาเลย แต่ก็คิดว่ายังไม่เลิก เพราะยังเก็บอุปกรณ์ต่างๆไว้ครบ  จนถึงวันสุดท้ายที่ผมเลิกตกปลาครับ....

     วันหนึ่งพี่สาวชวนหลานๆ ไปเที่ยวสวนของญาติพี่น้องกัน ซึ่งมีสระน้ำไว้เลี้ยงปลาด้วยหลายบ่อ ซึ่งผมก็ไปด้วย และนึกสนุกเอาเบ็ดไปด้วย(เบ็ดฝรั่ง) สระนั้นเลี้ยงปลาสวาย ตัวไม่ใหญ่มาก ประมาณขาผู้ใหญ่ เป็นของญาติคนหนึ่ง  ผมก็ทดลองตกดู โดยญาติๆบ้านผมก็อยากให้ลองตกให้ได้  แต่นานเท่าไหร่ก็ไม่ได้สักที จนจะมืดค่ำ ก็จะพากันกับบ้าน  แต่......ปลาสวายตัวปัญหา ดันกินเบ็ดพอดี !!  ด้วยเบ็ดมีขนาดเล็ก และปลามีขนาดใหญ่ ทำให้ตกขึ้นมาได้อย่างลำบาก และถือว่าเป็นตัวที่ใหญ่ที่สุดที่ผมเคยตกได้ และมันกลายเป็นตัวสุดท้ายที่ผมตกด้วย  เพราะหลังจากที่ตกปลาขึ้นมาได้ คนเฝ้าสวนก็เข้ามาบอกว่า ปลาสวายสระนี้ ตกไม่ได้ ต้องปล่อย  แต่ด้วยเวลาที่ตอนนี้ค่ำแล้ว และการที่จะเอาเบ็ดออกจากปลา ทำได้ลำบากมาก จึงบอกไปว่า เดี๋ยวจะไปบอกเจ้าของสระเองซึ่งเป็นญาติกัน (แต่คนสวนไม่รู้ เพราะเป็นลูกจ้าง) สุดท้ายก็เอาปลากลับบ้าน และมีเรื่องราวทะเลาะกันในหมู่ญาติเรื่องตกปลาตัวนี้ เพราะเจ้าของปลาโกรธและพูดว่าต่างๆนานา  และวุ่นวายจนจะตัดญาติขาดมิตรกันเลยทีเดียว (แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไร) ผมเลยรู้สึกว่าเป็นคนผิด และตั้งใจว่าต่อไปนี้จะไม่ตกปลาอีกต่อไป

     ก่อนหน้านั้นก็ได้ศึกษาธรรมะมาบ้าง แต่ก็ไม่เลิกตกปลา พอมาเจอเหตุการณ์นี้เลยทำให้รู้ว่าเป็นเพราะกรรมในการฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ ทำให้ชีวิตวุ่นวาย จิตใจหม่นหมอง จึงตัดสินใจ นำอุปกรณ์ต่างๆในการตกปลาทั้งหมด มาห่อ และทิ้งถังขยะที่มีรถมาเก็บ โดยไม่อยากให้ใครทราบว่าเป็นอุปกรณ์ตกปลาและนำไปใช้ต่ออีก และตั้งใจว่า จะพยายามหักห้ามใจไม่ตกปลาอีกต่อไป

     หลังจากเลิกตกปลา  ผมรู้ตัวว่า ผมอาจจะยังต้องรับกรรมที่เคยทำไว้กับปลา กับการตกปลาอยู่ ผมพยายามทำบุญให้มาก ทำบุญครั้งใดผมก็จะแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้กับสัตว์ต่างๆที่ผมเคยฆ่า เคยทรมาน โดยเฉพาะปลาต่างๆ ซึ่งผมก็ทำมาเรื่อยๆ    

     สิ่งที่เกิดขึ้น  หลังจากนั้นมา อาการต่างๆ เช่น แผลร้อนในปาก อาการกัดกระพุ้งแก้ม กัดปากตัวเอง เจ็บคอ มีแผลในปาก ลิ้น ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนานๆจะพบสักทีหนึ่ง ซึ่งคงเป็นเรื่องปกติของคนทั่่วไป  ผมจึงเชื่อสนิทว่า ที่ผ่านมานั้นเป็นผลกรรมของผมนั่นเอง

     บทความนี้ไม่มีลิขสิทธิ์ หากท่านใดจะเอาไปเผยแพร่ เพื่อให้บุคคลทั่วไปได้รับทราบถึงผลกรรมที่เราทำกับผู้อื่น สัตว์ ฯลฯ แล้วได้สติ ไม่กระทำในสิ่งที่ไม่ดี เหมือนกับที่ผมได้กระทำมา ผมก็ขออนุโมทนาบุญด้วย และด้วยกุศลผลบุญในการเขียนบทความในครั้งนี้ ผมขออุทิศผลบุญนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรของผม โดยเฉพาะพวกปลาทั้งหลายที่ผมได้ฆ่า ได้ทรมาน ในกาลที่ผ่านมา  และถ้าหากพวกเค้ารับรู้ ผมอยากจะบอกพวกเค้าว่า ผมสำนึกผิดแล้ว และจะไม่กระทำเช่นนั้นอีกต่อไป.

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ภาพกิจกรรม การทอดกฐิน ณ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรราชวิทยาลัย(ติดกับวัดพนมขวัญ)

การทอดกฐิน ม.จุฬาลงกรราชวิทยาลัย 21-09-2557

การทอดกฐิน ม.จุฬาลงกรราชวิทยาลัย 21-09-2557

การทอดกฐิน ม.จุฬาลงกรราชวิทยาลัย 21-09-2557

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การก่อสร้างพระเจดีย์พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ เฉลิมพระเกียรติ ร.๙ (21 ก.ย.2557)

ณ วันที่ 21 กันยายน 2557
ติดป้ายเชิญชวนร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรัตนธาตุเจดีย์ เฉลิมพระเกียรติ ร.๙

ณ วันที่ 21 กันยายน 2557 อีกมุมมองหนึ่ง

ณ วันที่ 21 กันยายน 2557 อีกด้าน
     การก่อสร้างพระเจดีย์พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ เฉลิมพระเกียรติ ร.๙  ณ  ปัจจุบันก็ยังคงมีการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มีอยู่เป็นสำคัญ  ซึ่งทางวัดจะดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จอย่างแน่นอน แต่ยังไม่ทราบว่าเมื่อใด  เพราะปัจจัยหลักที่นำมาเป็นค่าก่อสร้างนั้น ก็ได้จากเงินบริจาคของพุทธศาสนิกชนที่ศรัทธาเป็นสำคัญ

     จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมทำบุญ สร้าง พระเจดีย์พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ เฉลิมพระเกียรติ ร.๙ ณ วัดพนมขวัญ จังหวัดแพร่ เพื่อเป็นมหากุศลให้กับตัวท่านเองและครอบครัว ด้วยบุญกุศลนี้จะส่งผลให้ท่านทั้งหลายประสบแต่ความสุขความเจริญทุกๆด้านในปัจจุบันและอนาคตสืบต่อไป.

วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อันว่าชีวิตสัตว์โลก !! ช่างสั้นนัก

ลูกแมวตายตอนคลอด
"อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"

     เมื่อนานมาแล้ว ได้เก็บภาพซากลูกแมวพร้อมกับ รก ที่นอนตายกลางลานจอดรถแห่งหนึ่ง เมื่อมองเห็นแล้วรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นในจิตใจ เป็นความรู้สึกที่บอกได้ยาก แต่เมื่อลองคิดพิจารณาดู มันช่างเหมาะกับคำๆนี้เหลือเกิน "ชีวิต.. สุดท้ายก็แค่นี้หรือ..?"


     สรรพสัตว์ที่เกิดมาในโลกนี้ ช่างโง่เขลาเสียเหลือเกิน เหมือนคนตาบอดที่ชอบบอกกับตัวเองว่ารู้ ว่าเห็นในทุกๆสิ่ง แต่แท้จริงแล้ว มีเพียงไม่กี่หยิบมือที่ค้นพบวิธีรักษา ตาที่บอดนั้น ให้หาย และรู้ถึงความเป็นจริงแท้ที่ถูกปิดบังมาเนิ้นนาน.. หากเรารู้ตัวว่ายังเป็นผู้ที่ตาบอด และรู้ว่ามีคนที่ตาดีอยู่ในโลกนี้ สิ่งที่เราควรทำก็คือ.. ไปถามท่านว่า "เราจะรักษาตาบอดได้อย่างไร ?"

     ชีวิตสัตว์ในโลกนี้ รวมถึงมนุษย์ที่ภาคภูมิใจในตัวเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ มีอายุขัยไม่เท่ากัน มากบ้าง น้อยบ้าง ตามแต่ละชนิด  ซึ่งแม้แต่ชนิดเดียวกันก็ยังมีชีวิตที่ยืนยาวไม่เท่ากัน มนุษย์บางคนเกิดมายังไม่ทันได้ลืมตา ก็ด่วนเสียชีวิตไป  มนุษย์บางคนอายุยืนยาวอย่างน่าเหลือเชื่อแต่มีชีวิตในแต่ละวันช่างทุกข์ยากแสนเข็ญ  มนุษย์บางคนตลอดชีวิตมีแต่ความสุขสบายทั้งกายใจจึงอยากอยู่ดูโลกนี้ไปนานๆ แต่กลับอายุสั้น  มนุษย์บางคนพ่อแม่เลี้ยงดูมาด้วยความยากลำบาก แต่ด้วยช่วงชีวิตที่ผิดหวังในบางเรื่อง กับถึงกับฆ่าตัวตาย ไม่เสียดายชีวิตที่พ่อแม่มอบให้  มนุษย์บางคนใช้ทั้งชีวิตเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นให้มีความทุกระทมเสมอ มีแต่คนสาปแช่งให้ตาย แต่ก็ไม่ตายสักที  มนุษย์บางคนเป็นคนดีชั่วชีวิต ถือศีล ปฏิบัติธรรม แต่เวลาเสียชีวิตกับเจอการเสียชีวิตแปลกๆ เช่น รถชน ตกต้นไม้ โดนงูกัด ฯลฯ จนถูกแม้แต่พวกขี้เมาหัวเราะใส่ว่า "สู้เป็นขี้เมาดีกว่า ตายช้า ไม่เหมือน พวกเข้าวัดเข้าวา ตายไว"

     การมีชีวิตอยู่ หรือการเสียชีวิต ของสรรพสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะมนุษย์นั้น มันมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่าที่ตาเราเห็น หรือหูที่เราได้ยิน อย่าตัดสินมนุษย์ว่าคนๆนั้น "ดี" หรือ "ไม่ดี"ด้วยลักษณะการเสียชีวิต

     ข้าพเจ้าได้ยินบ่อยๆ จากผู้คนทั่วไป ว่าคนนั้น คนนี้ เข้าวัด ฟังธรรม ถือศีล แปปๆ อายุไม่เท่าไหร่ ถูกรถชนตายซะแล้ว !!   ดูนั่นสิ ดูขี้เมาตรงโน้นสิ  วันๆไม่ทำอะไร  ไม่ขโมยของ, แกล้งหมา, ก็เอาแต่เมาทั้งวัน  ตั้งแต่หนุ่มจนแก่แล้ว ยังไม่ตายสักที !!  ซึ่งจากคำพูดที่ได้ยินบ่อยๆจากหลายๆปากมักจะเป็นประมาณนี้ทั้งนั้น  ก็เพราะมนุษย์เราใส่ใจกับ "การตาย มากเกินไป" จนนำการตายมาตัดสิน "คุณค่าของมนุษย์คนนั้นๆ"  ว่าสิ่งที่ทำในช่วงชีวิตที่มีอยู่ นั้นควรทำหรือไม่ ?  ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดอย่างยิ่ง !!

    สรรพสัตว์ทั้งหลายโดยทั่วไป  ไม่รู้วันเกิด  ไม่รู้วันตาย (วันเกิด..ถ้าพ่อแม่, ญาติของเรา ไม่บอกเรา เราก็คงจะไม่ทราบ)  แต่รู้ว่าขณะนี้เรากำลังทำอะไรอยู่  ทำดี หรือ ทำเลว แล้วถ้าหากท่านเชื่อในพุทธศาสนา ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วแล้ว.. ท่านคงจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า ควรทำอะไร ?  มากกว่า.. จะไปสนใจว่าจะตายเมื่อไหร่?  จะตายอย่างไร?

     เพราะชีวิตนี้มันช่างสั้นนัก !!  คำตอบที่คุณค้นหาอาจจะอยู่หลังจากความตายแล้วก็เป็นได้ !!

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

ข่าวหลวงพ่อพิมพ์ กรณีศึกษา การสื่อสารที่อาจจะล่อแหลม !

ข่าวหลวงพ่อพิมพ์
     ปัจจุบันข่าวฉาวต่างๆในวงการพระสงฆ์ มีมากมาย มีทั้งจริง มีทั้งหลอก มีทั้งจัดฉากจากผู้ไม่หวังดีและหวังผลประโยชน์ต่างๆ(และคงจะหวังนรกด้วย) ส่วนตัวแล้วได้ติดตามข่าวสารตามหนังสือพิมพ์ ตาม ทีวี อินเตอร์เนต ฯลฯ ก็ได้พบเจอข่าวเช่นนี้ ประจำ ซึ่งเป็นที่สนใจของประชาชนทั่วไป

     การที่สื่อคอยเป็นหูเป็นตา ให้กับพระพุทธศาสนานั้น เป็นสิ่งที่ดี ที่จะช่วยกันแฉพระปลอม พระที่มีความประพฤติไม่ดี (ซึ่งประชาชนสนใจกันมาก เรียกว่า ขายข่าวได้) แต่หลายๆครั้ง การนำเสนอข่าวมักเป็นไปในทางชวนเข้าใจผิด ชวนให้คิดว่าพระสงฆ์นั้นๆทำผิด ซึ่งจริงๆแล้วกระบวนกฏหมาย หรือการสืบสาวราวเรื่องยังไม่ปรากฏความจริง แต่การนำเสนอ ก็ชวนให้ผู้อ่าน ผู้ชม ผู้ติดตามข่าว เข้าใจและตัดสินไปเรียบร้อยแล้ว

     จากภาพดังกล่าว จากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ได้กล่าวว่า มีภาพหลุดของสีกากำลังบีบนวดหลวงพ่อพิมพ์ และชี้ว่าเหมาะสมหรือไม่ ?  แต่ก็ไม่ได้สรุปอะไร  เพราะอยากให้คนอ่านติดตามต่อ ทั้งๆที่ภาพออกมาขนาดนี้ คนถ่ายภาพก็คงรู้แล้วว่า อะไรเป็นอะไร  แต่นำเสนอไม่หมด.... เพราะอะไร ??

     และหลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็มาบอกว่าคนที่บีบนวดในภาพนั้น เป็นลูกสาว ของหลวงพ่อพิมพ์ !!!  มันต่างกันมากระหว่าง "สาว" และ "ลูกสาว"  จนทำให้หลวงพ่อพิมพ์คงจะตัดสินใจหลีกหนีจะดีกว่า..

     ในฐานะที่เป็นผู้อ่าน ผู้ชมข่าว บอกตามตรงว่า ไม่ทราบว่าสุดท้ายใครจะผิด ใครจะถูกอย่างไร เพราะไม่ได้ติดตามในลักษณะใกล้ชิดตัวบุคคล  แต่ติดตามผ่านสื่อเท่านั้น  หากสื่อ ทำการสื่อสารที่อาจจะทำให้ใครก็ตามเข้าใจผิดจากความเป็นจริง อาจจะนำความเสื่อมตามมาได้

     ผมขอ "สมมุติ" ยกตัวอย่างข่าวนี้ เป็น 2 กรณี คือ

     1.ถ้า..สุดท้าย หลวงพ่อพิมพ์ผิดจริง  สื่อต่างๆที่พยายามขุดคุ้ย เสาะหาความจริง ว่าหลวงพ่อ นั้นอวดอุตริมนุษยธรรมจริง และเข้าข่ายหลอกลวงชาวบ้าน  ผมจะยกให้สื่อเป็นฮีโร่ ในเรื่องนี้

     2.ถ้า..สุดท้าย หลวงพ่อพิมพ์เป็นฝ่ายถูก เพราะสื่อต่างๆ พยายามที่จะเอาคำพูดของหลวงพ่อ มาตีความหมายผิดๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจว่า หลวงพ่ออวดอุตริมนุษยธรรม  และพยายามที่จะสร้างข่าวต่างๆ ให้ฮือฮา เช่น ถ่ายภาพหญิงสาวบีบนวดแล้ว บอกไม่หมด  แต่ กั๊กไว้ บอกช่วงหลังๆ ทั้งๆที่จะบอกแต่แรกก็ได้  ผมคงจะต้องใช้วิจารณญาณอย่างหนัก ในการเสพสื่อต่างๆให้มากกว่านี้  และสื่อ คงจะลดความน่าเชื่อถือสำหรับผมอีกเยอะทีเดียว

     อันที่จริงแล้ว ผมไม่ได้ซีเรียสอะไรมาก ในเรื่องนี้ เพราะกฏแห่งกรรมมีอยู่จริง ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม  ไม่ว่าจะเป็น คนธรรมดา กลุ่มคน พระสงฆ์ หรือแม้แต่ "สื่อ" ถึงแม้โทษทางโลกจะมีน้อยมาก  แต่โทษทางธรรมแล้ว ยิ่งใหญ่ไม่ใช่น้อย !!

     การพยายามทำลายพุทธศาสนา ไม่ว่าจะทางใด เช่น ทำลายพระพุทธรูป ทำลายศาสนสถานณ์ ทำลายชื่อเสียพระพุทธศาสนา ทำลายความน่าเชื่อถือของพระพุทธศาสนา การทำให้พระสงฆ์แตกแยก การใส่ร้ายป้ายสีพระอริยสงฆ์ ฯลฯ  ล้วนแล้วแต่นรกหนักๆทั้งนั้น ระวังไว้หน่อยก็ดีนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

"พ่อ แม่" เป็นผู้ให้อย่างเดียวเท่านั้นหรือ ???

พ่อแม่ของลูกๆ

     วันหนึ่ง ผมได้ยินใครบางคนพูดว่า "พ่อ แม่ อย่าไปเอาอะไรจากลูก อย่าให้ลูกทำอะไรให้ มันจะบาป เพราะพ่อแม่นั้น ต้องมีแต่ให้ ให้ และให้เท่านั้น" ผมได้ยินแล้วรู้สึกเช่นไร ยังไม่ขอบอกตอนนี้ แต่... ผมขอถามทุกท่านว่า ท่านเห็นด้วยประการใด กับคำพูดแบบนี้...

     ในทางพุทธศาสนา พ่อและแม่ มีฐานะเป็น "พระอรหันต์" สำหรับลูกทุกคน และชาวพุทธทุกคนย่อมเคยได้ยินว่า การทำบุญใดๆนั้น จะได้บุญมาก หรือ บุญน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัย เช่น ถ้าหากเราจะทำทาน ก็ขึ้นอยู่กับวัตถุที่จะให้ทานนั้น บริสุทธิ์หรือไม่ ? ไปขโมยใครมารึเปล่า, ก่อนให้ทานจิตใจเราเป็นอย่างไร ขณะให้ทานจิตใจเราเป็นอย่างไร และเมื่อให้ทานแล้วจิตใจเราเป็นอย่างไร, เราให้ทานกับใคร หากท่านมีคุณธรรมสูง บรรลุในธรรมชั้นสูง เช่น อริยสงฆ์ ผู้ทำทานย่อมได้บุญมาก กว่าผู้ที่คุณธรรมต่ำกว่า เช่น มนุษย์ปุถุชนทั่วไป สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น

     แต่ ธรรมชาติของโลกนี้ ย่อมจะมีทางให้มนุยษ์เสมอ ให้สามารถสั่งสมบารมี สั่งสมบุญ จนเข้าสู่หนทางแห่งความหลุดพ้นได้ อยู่ที่ใครจะค้นพบ และค้นหาเจอ เรานั้นโชคดีที่เกิดมาพบพุทธศาสนา มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ค้นพบสัจจะธรรมและเผยแผ่ สั่งสอน ให้พบกับทางสว่าง ทางหลุดพ้น ซึ่งพระพุทธองค์ทรง สั่งสอนให้มีความกตัญญู กตเวที แด่บิดา มารดา เป็นที่สุด และบิดา มารดามีฐานะพิเศษสำหรับบุตร คือ เปรียบเสมือนพระอรหันต์ ของบุตร เพียงผู้เดียว  หากบุตรกระทำการสิ่งใดให้กับบิดาหรือมารดาของตน ย่อมได้รับสิ่งนั้นทบเท่าทวีคูณ เหมือนกับได้กระทำกับพระอรหันต์ในพุทธศาสนาทุกประการ ไม่ว่าสิ่งที่ทำนั้นจะเป็นสิ่งที่ดี(บุญ) หรือสิ่งที่ไม่ดี(บาป)

    พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า สิ่งที่พระพุทธองค์ค้นพบนั้น มีอยู่แล้ว ถึงแม้ไม่มีพระพุทธองค์ สิ่งนั้นก็มีของมันอยู่แล้วเช่นนั้น พระองค์เพียงเป็นผู้ค้นพบ และบอกต่อในสิ่งที่เป็นสัจจะธรรม สิ่งที่เป็นความจริงเสมอเท่านั้น

     ดังนั้น ไม่ว่าผู้ใด ศาสนาใด หากกระทำกับผู้เป็นบิดา มารดาของตน ย่อมได้รับสิ่งที่กล่าวมาในข้างต้นไม่แตกต่างกัน

     พ่อ แม่ ที่มีความเข้าใจผิดๆ ว่าทุกสิ่ง ทุกอย่าง พ่อ แม่จะต้องทำให้ลูกทั้งหมด ลูกๆ ไม่ต้องทำอะไร ให้กับพ่อแม่ เพราะพ่อแม่เป็นผู้ให้ ย่อมส่งผลให้ลูกๆ ของพ่อและแม่คู่นั้น ไม่มีโอกาสได้กระทำสิ่งดีๆ ให้กับพ่อและแม่ของตน บุญกุศลต่างๆที่จะได้จากการ ทำสิ่งดีๆให้กับพ่อแม่นั้น ก็จะไม่มี ลูกๆในครอบครัวนี้ ย่อมไม่มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ไม่ว่าจะด้านใดๆ เป็นการส่งเสริมลูกในทางที่ผิด โดยรู้เท่าไม่ถึงกาล ไม่รู้จักหลักธรรมะ ไม่รู้จักความจริงของชีวิต ลูกๆย่อมเจริญได้ยาก

     แต่การที่มีความหลงผิดเช่นนี้ เสี่ยงที่จะทำให้ลูกเข้าใจผิดๆ และอาจจะทำสิ่งที่ไม่น่าจะทำกับพ่อและแม่ของตนได้ เช่น ถ้าพ่อและแม่ ไม่ทำอะไรให้ หรือทำอะไรให้ไม่ได้ ก็จะดุด่า ว่ากล่าว ตบ ตี พ่อแม่ ผลสุดท้ายก็คือ "เปรต" "นรก" และ "เดรัจฉาน" เท่านั้น

    หากท่านเป็นบุตรที่ถูกปลูกฝัง หรือสั่งสอน สิ่งที่ผิดๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว อย่าพึ่งเชื่อสิ่งใดในบทความนี้ ลองคิดและพิจารณาดูเถิด ว่าต่อไปนี้ควรจะทำอย่างไร จะแก้ไขไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก หรือจะไม่เชื่อ ก็สุดแล้วแต่ท่านจะพิจารณา.

วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อัพเดท การก่อสร้างพระเจดีย์พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ (12-07-2557)

ภาพ ณ วันเข้าพรรษาปี 57 (12-07-57)

ภาพ ณ วันเข้าพรรษาปี 57 (12-07-57)
     การก่อสร้างก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ตราบที่มีผู้ร่วมบริจาคทุนทรัพย์ทางวัดพนมขวัญก็รวบรวมและทำการก่อสร้างตามทุนทรัพย์ที่มี  ปัจจุบันใช้งบประมาณไปแล้ว ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ ทางวัดยังคงต้องการผู้มีจิตศรัทธา ร่วมทำบุญบริจาค ต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ

     แต่เหตุการณ์ที่ต้องนำมาแจ้งข่าวร้าย ก็คือ มีโจรใจบาป บุกเข้ามางัดตู้บริจาคเสียหาย และได้เงินไปจำนวนหนึ่ง (โชคดีที่ไม่มากเท่าไหร่) และวัดในระแวกใกล้เคียงก็โดนเช่นเดียวกัน อนิจจา..  หารู้ไม่ว่าเงินอันน้อยนิดที่ขโมยไป มันจะส่งผลร้ายแรงขนาดไหนต่อชีวิตของโจรผู้นั้น เทียบไม่ได้กับ 1 ต่อ แสนโกฏิ ตายแล้วก็ต้องตกนรก แล้วก็มาเป็นเปรต อีกนานแสนนน..น นาน  ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีก

    ยุคนี้สมัยนี้คนมันไม่กลัวบาป กลัวกรรมเอาซะมั่งเลย  เฮ้อ..

วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

กรรม ของคนขายสุรา.

การขายเหล้า แม้จะถูกกฏหมาย แต่ผิดศีลธรรม
     ในปัจจุบันการค้าขายสิ่งที่ผิดกฏหมาย ทางการย่อมไม่ปล่อยปละละเลย และหลายๆคนย่อมไม่กระทำเพราะเป็นสิ่งที่ผิดทั้งกฏหมายและศีลธรรม แต่มีการค้าขายอยู่ชนิดหนึ่งที่แม้จะถูกกฏหมาย แต่ก็ยังต้องบอกว่าผิดศีลธรรม ยังคงต้องได้รับผลกรรมในด้านที่ไม่ดีอย่างแน่นอน.

     "เหล้า" หรือ "สุรา" ในบ้านเรามีการค้าขายอย่างเปิดเผยและถูกกฏหมาย แม้จะเป็นเหล้าที่ต้มเองโดยชาวบ้าน แล้วนำไปเสียภาษีสรรพสามิตก็ย่อมฟถือว่าถูกกฏหมาย ไม่ใช่เหล้าเถื่อนอีกต่อไป ผู้คนก็เลยมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ผิด เพราะไม่ผิดกฏหมาย แต่ในแง่ของธรรมะ ศีลธรรมแล้ว ไม่ว่าท่านจะรับมาขายหรือผลิตเอง ย่อมได้รับผลกรรมตามมา

     ผลกรรมที่ขาย "เหล้า" หรือ "สุรา" ที่้เด่นชัด ในชาตินี้ มีดังนี้
  •  ขึ้นชื่อว่า กรรม เป็น อจินไตย เข้าใจได้ยาก ส่งผลได้ทั้งเร็วและช้า ถ้าพูดถึงกรรมในชาติปัจจุบันส่วนใหญ่จะแสดงผลให้เกิดที่ลูก(บุตร) จะทำให้บุตร เป็นคนที่หลงผิดเป็นชอบ ลุ่มหลงมัวเมาในสิ่งที่คนอื่นๆมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่น่าทำ ไม่น่ามอง เช่นในสายตาของคนปกติทั่วไป มองว่าผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนที่ไม่ดี ไม่น่าคบ เป็นคนชั่วด้วยกาย วาจา และใจ แต่บุตรของผู้มีอาชีพขายเหล้า กลับมองว่าเป็นผู้หญิงที่ดี น่ารัก เป็นคนดี ลุ่มหลงมัวเมาจนถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ว่าผู้อื่นจะตักเตือนอย่างไร จะว่ากล่าวอย่างไร ก็ไม่ฟัง และสุดท้ายก็มักจะเสียใจในที่สุด
  • มักจะเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับสุรา หรือบุตร ญาติพี่น้องมักจะป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับสุรา (หมายถึงโรคที่คนดื่มสุราแล้วมักจะเป็น เช่น ตับแข็ง มะเร็ง เป็นต้น) ถึงแม้ว่าจะไม่ดื่มสุรา ก็ยังมีโอกาสเสี่ยง เพราะกรรมที่เป็นคนส่งเสริมให้ผู้อื่นป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับสุรา ส่งผลทำให้ผู้ขายสุรา ได้รับผลกรรมนี้ด้วยเช่นกัน
  • มักจะเสียทรัพย์สิน อันเกิดจากผู้ที่ดื่มสุราอยู่เสมอๆ เช่น มีผู้ที่ดื่มเหล้าเมาแล้วขับรถพุ่งเข้าชนทรัพย์สินอันมีค่า ของผู้ที่ขายสุรา เป็นต้น เนื่องมาจากเงินที่ได้จากการขายสุรา เป็นทรัพย์ที่ไม่บริสุทธิ์ เมื่อได้ทรัพย์มาอย่างไม่บริสุทธิ์ย่อมเสียไปโดยง่าย และมักจะเสียไปกับผู้ที่มีกรรมเกี่ยวข้องกัน นั่นก็คือ ผู้ที่ดื่มสุรานั่นเอง
     มีคนบอกว่า "ถ้าไม่อยากให้มีคนดื่มเหล่า ไม่อยากให้มีคนสูบบุหรี่ ก็อย่าให้มีคนขาย " ด้วยเป็นมนุษย์ปุถุชน อันหนักอึ้งไปด้วยกิเลส ย่อมทำได้ยาก  ผู้ที่กระทำกรรมไม่ดี 90% รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ก็ยังกระทำกันอยู่  พระท่านถึงได้บอกว่า "สอน คนที่สอนได้" ที่เหลือก็ให้ฟังไว้ จะปฏิบัติหรือไม่ เป็นเรื่องของปัจเจกชน ขนาดฝรั่งยังมีสุภาษิตที่ว่า "เราสามารถพาม้าไปที่ลำธารได้ แต่ไม่สามารถบังคับให้ม้ากินน้ำได้" ฉันใดก็ฉันนั้น.

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ท่านคิดว่าสังคมไทยทำไมถึงตกต่ำโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ (ยุคข้าวยาก หมากแพง)


พระพุทธองค์สอนไว้ว่า "ผลเกิดจากเหตุ  ดับเหตุได้ จึงไร้ผล"

     ศีล 5 ประกอบไปด้วย ห้ามฆ่าสัตว์, ห้ามลักทรัพย์, ห้ามประพฤติผิดในกาม, ห้ามพูดปด ส่อเสียด, ห้ามดื่มสุรา  ทุกข้อล้วน มีผลตามมาหากกระทำ เช่น เราฆ่าสัตว์ ย่อมทำให้เรา มีโรคมาก อายุสั้น  ถ้าเราลักขโมยของ ย่อมทำให้เรามีเหตุให้เสียทรัพย์อันไม่ควรจะเสีย ทั้งทางตรงและทางอ้อม เป็นต้น

     ประเทศไทยเข้าสู่ยุคข้าวยาก หมากแพง เศรษฐกิจย่ำแย่ คนส่วนใหญ่ในประเทศยากจนมีหนี้สินมากมาย มีรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย ทุกๆอย่างมันบ่งชี้ถึงเรื่องเกี่ยวกับ การเมือง และเศรษฐกิจตกต่ำ เมื่อมาลองคิดๆดูในเรื่อง "ผลเกิดจากเหตุ" ไม่ว่าทางตรงและทางอ้อม ทำให้ฉุกคิดถึงเรื่องๆหนึ่งที่น่าจะเกี่ยวข้อง ก็คือ "เงินซื้อได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งคน" เมื่อคนเริ่มมองสิ่งที่ผิด เป็นสิ่งที่ทำได้ และยอมรับได้ ในเมื่อรับเงินทุจริตในเรื่องอะไรก็ตาม คุณก็ต้องชดใช้ในเรื่องนั้นๆ  
     
     ลองคิดเล่นๆ สมมุตว่า ในประเทศแห่งหนึ่งในโลกนี้(ไม่ใช่ประเทศไทย) ผู้คนส่วนใหญ่เป็นประชาธิปไตร โดยใช้เสียงข้างมาก ในการเลือกตั้ง แล้วมีนักการเมืองประเทศนั้นๆ แย่งกันซื้อเสียงประชาชน โดยประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนั้นๆก็นิยมเลือกฝ่ายที่ให้ผลประโยชน์มากที่สุด และนักการเมืองที่ลงทุนมากที่สุดก็ได้รับเลือกไป  และถ้าผลกรรมมีจริง คนที่ต้องรับผลกรรมนั้น ก็คงจะไม่พ้น "ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนั้นๆนั่นเอง"  แล้วผลกรรมที่ควรจะได้รับนั้นละ น่าจะคืออะไร ?  ก็ในเมื่อเกี่ยวกับเงิน ก็คงจะไม่พ้นเรื่องเศรษฐกิจอย่างแน่นอน  จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมประชาชนในประเทศนั้นถึงมีปัญหาเกี่ยวกับเศรษฐกิจซะส่วนใหญ่  เพราะคนส่วนใหญ่มีกรรมเกี่ยวเนื่องกับเรื่องนี้นั้นเอง

    ทั้งนี้ ทั้งนั้น เรื่องที่กล่าวมานั้นเป็นเรื่องที่สมมุตขึ้นมา แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว เชื่อว่าหลายๆท่านคงจะทราบคำตอบดีว่าเป็นเช่นไร หากท่านทำใจให้เป็นกลางและมองดูโลกตามความจริง  แต่สัจจะธรรมก็คือ "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ร่วมกันทำดีก็ย่อมดีทั้งหมู่คณะ ร่วมกันทำชั่วก็ย่อมได้ชั่วทั้งหมู่คณะเช่นกัน" จงมาร่วมกันสร้างความดี ละเว้นความชั่วให้มากที่สุด ผลกรรมย่อมปรากฏต่อผู้กระทำกรรมเสมอ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะยิ่งใหญ่ หรือเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม.

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สีกามหาภัย ตอนที่ 2

สีกาสมัยนี้ ไว้ใจไม่ได้เอาซะเลย

จากความเดิมตอนที่แล้ว

เรื่องเล่าจากพระ ตอน สีกามหาภัย !!

พอดีพึ่งคิดได้ว่ามีอีกตอนหนึ่งที่น่าสนใจ ที่จะนำมาพูดถึงครับ 

      พระท่านก็ได้พูดถึง พระระดับสูงๆ รูปหนึ่งครับ ที่ถูกแก๊งค์มิจฉาชีพ แบล็คเมล์เอาง่ายๆ โดยที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว ซึ่งท่านก็ได้ทราบข่าวมาจากพระรูปอื่นๆหรือได้สัมผัสกับตัวเอง อันนี้ผมไม่แน่ใจ เราลองมาฟังที่มาที่ไปกันเลยครับ

      น่าจะเป็นวันทำบุญ หรือมีกิจรรมอะไรสักอย่าง ที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา หรือเทศกาล ที่วัดจะเหมือนมีงาน และมีผู้คนมากมายมาทำบุญที่วัด  มากราบไหว้พระประธาน และมักจะมีพระสงฆ์คอยรดน้ำมนต์ มัดมือด้วยสายสิญเพื่อเป็นศิริมงคลแต่สาธุชนทั่วไป  ผมคิดว่าหลายๆท่านคงจะนึกภาพออกนะครับ ในบรรยากาศที่ผมได้บรรยายมา

      พระท่านที่เกิดเรื่องนั้น ผมเดาจากที่พระท่านเล่า น่าจะเป็นระดับเจ้าอาวาส หรือระดับเจ้าคณะตำบล,อำเภอ หรือมีชื่อเสียงพอสมควรครับ (แต่ท่านไม่ได้บอกชื่อและรายละเอียด) วันนั้นท่านได้นั่งทำหน้าที่ในวิหาร เพื่อให้พร รดน้ำมนต์ และมัดมือ  ระหว่างนั้นท่านคงจะไม่ได้สังเกตุเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ และไม่คิดว่าจะมีใครที่กล้าคิด "ชั่ว" อยู่ตรงนั้น

ซึ่งหารู้ไม่ว่า มิจฉาชีพได้เตรียมการไว้แล้ว และมีการทำงานเป็นทีมซะด้วย !!

      มิจฉาชีพมี 2 คน ผู้หญิง กับ ผู้ชาย ซึ่งน่าจะเป็นสามี ภรรยากัน เมื่อสบโอกาส ผู้หญิงได้ทำทีไปขอรดน้ำมนต์และ "มัดมือ" ด้วยสายสิญ เพื่อเป็นศิริมงคล ในระหว่างนั้น ผู้ชายได้ทำทีหยิบกล้องถ่ายรูปออกมาถ่ายไปเรื่อยๆ  และในจังหวะนั้นเอง ที่พระท่าน ได้กำลังทำการ "มัดมือ" ผู้หญิงคนนั้นก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วเอาแก้มไปแนบกับแก้มของพระท่าน !!!   แล้วผู้ชายคนนั้นก็รีบถ่ายรูปไว้ทันที !!!! 

เหตุการณ์หลังจากนี้ หลายๆท่านที่อ่านอยู่ คงจะพอเดาออกนะครับว่า พระท่านนั้น จะโดนอะไร ?

สุดท้ายพระท่านนั้น ก็โดนแบล็คเมล์ สูบเอาเงินไปจนหมดเนื้อหมดตัว

      คนสมัยนี้จิตใจตกต่ำจนถึงขีดสุด สวนทางกับหน้าตาที่ทำศัลยกรรมอย่างสุดโต่ง ไม่ต้องทำดีเพื่อที่จะได้มีหน้าตาที่สะสวย ในชาติหน้า เพราะมันช้าไป ไปขูดเลือดกับพระแล้วไปศัลยกรรมที่เกาหลีดีกว่า สวยได้ทันใจกว่ากันเยอะ   

เฮ้อ...  คนที่ไม่เชื่อว่า "นรกมีจริง" ก็อย่างงี้แหละหนา...



วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

(13-05-57)**วันวิสาขบูชา** ภาพความคืบหน้า การก่อสร้างพระเจดีย์พระพุทธเจ้า 28 พระองค์

พระเจดีย์พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ (13-05-2557)
พระพุทธสุวรรณธาราทันใจ

ด้านหน้าติดถนน

ส่วนมุม

ด้านข้าง มีการเทพื้นโดยรอบ

ฉาบปูนเสร็จ 80%-90%

ลายรั้วฉะลุ เป็นรูปใบโพธิ์


ตักบาตร กับพระอุปคุต

ด้านบนเพดานเกือบเสร็จแล้ว

เจดีย์องค์หลักก่อสร้างไปได้ 60-70% แล้ว
ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชน ร่วมสร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ สนใจร่วมบริจาคสมทบทุนได้ที่ 
บัญชี วัดพนมขวัญ ประเภทออมทรัพย์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
สาขาย่อยแม่หล่าย เลขที่บัญชี  008 – 2 – 85243 – 9
หรือ
สามารถติดต่อด้วยตนเองได้ที่วัดพนมขวัญ ติดต่อ พระใบฎีกาสิริวุฒิ  ปญฺญาวชิโร (เจ้าอาวาส)โทรศัพท์ 086-9157589 , 054-646666
ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ร่วมสมทบทุนสร้างพระเจดีย์ด้วยครับ


วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เรื่องเล่าจากพระ ตอน สีกามหาภัย !!

ภาพวัดพนมขวัญ อ.เมือง จ.แพร่
วันหนึ่งผมได้มีโอกาสได้นั่งพูดคุยกับพระสงฆ์รูปหนึ่ง (ขอไม่เปิดเผยชื่อ) ได้เล่าเรื่องราวต่างๆของการที่ท่านเป็นพระมานานพอสมควร ซึ่งผมก็รู้สึกว่าน่าสนใจ และอาจจะมีประโยชน์ในอีกมุมมองหนึ่ง ก่อนอื่นที่จะเล่าเรื่อง ผมก็ขออนุญาตพระสงฆ์รูปนั้นมา ณ ที่นี้ด้วย เพราะเห็นว่าไม่น่าจะมีข้อเสียหายใดๆ และเป็นประโยชน์ต่อสังคมอีกด้วย  ดังนั้น ขออนุญาตนะครับ ^^

ท่านได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตพระ ที่ท่านได้พบเจอด้วยตนเอง และพระสงฆ์รูปอื่นๆที่ได้เคย ผจญกับมารร้ายในรูปแบบของ "สีกามหาภัย" ดังนี้

สายของวันหนึ่งท่านก็ได้ทำกิจของสงฆ์อยู่ปกติ ในกุฏิของท่าน ซึ่งเป็น กุฏิชั้นเดียว ไม่ยกสูง อยู่ในมุมหนึ่งของวัดที่ท่านอยู่  ก็ได้มีรถเก๋งคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดภายในบริเวณวัด  เจ้าของรถเป็นหญิงสาวแปลกหน้า แต่งกายค่อนข้างทันสมัย พอลงจากรถ ก็ตรงรี่เข้ามาที่กุฏิของท่าน และพยายามมองหาใครสักคน ก็เจอพระท่าน อยู่ในกุฏิ จึงเดิมเข้ามาหาเหมือนกับมีธุระบางอย่าง  พอมาถึงสีกาท่านนี้ก็เริ่มเลย

"หลวงพ่อๆ น้องมีเรื่องจะมาปรึกษาหลวงพ่อจะได้ไหม ? "

"ได้ๆ มีอะไรก็ว่ามา"

"คือว่า น้องอยากให้ผัวรัก ผัวหลง น้องเลยไปสักยันต์ที่ใต้นม มา หลวงพ่อว่ามันจะได้ผลไหมค่ะ ?"
 **พูดไม่พูดเปล่า แต่สีกาท่านนี้ ได้รูดซิบเสื้อ เปิดรอยสักยันต์ ให้ดูซะงั้น 0-o จงใจทำเรื่องไม่ดีชัดๆ**

พระท่านตกใจเล็กน้อย แต่มีสติดี จึงตอบกับไปว่า " สักตรงไหนไม่สำคัญ หากพูดไม่ดี ทำไม่ดี ต่อให้สักตรง xxx ผัวก็ไม่อยู่ด้วยหรอก "

ด้วยเคราะห์ดี ที่จังหวะ ที่คุยกันจบประโยคตรงนี้ มีพระลูกวัดอีกรูปหนึ่ง โผล่มาเจอพอดี ทำให้สีกาท่านนั้น ตกใจ และรีบเดินไปขึ้นรถอย่างรวดเร็ว และขับออกไปทันที

พระท่านจึงรอดจากข้อหา นานับประการที่อาจจะถูกทำโทษทางวินัยสงฆ์ได้ เพราะมีพระอีกท่านเป็นพยานในที่เกิดเหตุ ว่าไม่ได้ทำอะไรเสื่อมเสีย หรือผิดวินัยแต่อย่างใด

ถึงแม้ว่าจะไม่ทราบวัตถุประสงค์แน่ชัดของสีกาท่านนี้ แต่การกระทำบ่งชี้ว่าเป็นไปในทาง อกุศลอย่างแน่นอน  ซึ่งจากสถานการณ์น่าจะเป็นหนึ่งในขบวนการ "แบล็คเมล์พระสงฆ์" ที่พระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบหลายรูปต้องตกเป็นเหยื่อของ กลุ่มคนที่ได้ชื่อว่า "ว่าที่สัตว์นรก" เหล่านี้  เป้าหมายหลักคงไม่พ้นกับคำว่า "เงิน" นั่นเอง

เรื่องนี้บอกให้รู้ว่า ปัจจุบันสังคมไทยเสื่อมโทรมลงมาก มิจฉาชีพ ไม่ได้หากินกับประชาชน คนธรรมดา เท่านั้น แต่พวกมันเริ่มลงมือกับ "พระสงฆ์" มากขึ้น โดยเฉพาะวัดไหนที่มีทรัพย์สินมาก พระรูปใดที่คาดว่าจะมีทรัพย์สินมาก มักจะเป็นเป้าหมายแรกๆ ของคนกลุ่มนี้ (ส่วนใหญ่ทำงานเป็นทีม)

น่าเห็นใจแทนพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ที่ต้องถูกปราชิก ถูกสึก ถูกประณาม ถูกตกเป็นจำเลยของสังคม โดยแท้จริงแล้ว เพียงแค่ถูก กลุ่มสัตว์นรกเหล่านี้ กลั่นแกล้ง วางแผนให้ร้าย เพราะหวังผลประโยชน์ต่างๆนาๆ  ซึ่งสุดท้ายแล้ว กลุ่มสัตว์นรกเหล่านี้จะถูกกรรมตามสนอง (อย่างรวดเร็ว ที่ไม่ใช่ทางกฏหมาย แต่ทางกฏแห่งกรรม) ก็อาจจะไม่ได้เป็นข่าวแต่อย่างใด ทำให้ไม่ทราบกัน   แต่กับพระสงฆ์ที่ตกเป็นเหยื่อ ตกเป็นข่าวดัง ท่านไม่สามารถออกมาแก้ตัว มาชี้แจง หรือไม่รู้จะชี้แจงอย่างไร เพราะนอกจากความบริสุทธิ์ใจแล้ว ท่านก็ไม่มีหลักฐานใดๆ ออกมายืนยันความบริสุทธิ์  ไม่เหมือนกับกระบวนการที่สัตว์นรกทั้งหลายทำ มันรู้ช่องทาง มันเก็บทุกภาพ เก็บทุกรายละเอียด ในทุกอย่างที่ต้องการจะเปิดเผยให้คนทั่วไปเข้าใจผิด

สุดท้าย ก่อนจบเรื่องนี้ พระท่านได้พูดประโยคหนึ่งกับผมว่า "เป็นพระในปัจจุบันนี้ มันไม่ง่ายนะโยม"


ซึ่งผมก็คิดว่า คงจะจริงอย่างที่ท่านว่า....เฮ้อ..

วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2557

วันเสาร์ห้า(5) วันแรงของปี 57


วันเสาร์ ๕ ปีนี้ คือ วันเสาร์ที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๗

     เชื่อว่าหลายๆท่านคงจะเคยได้ยินคำว่า "เสาร์ ๕ " กันมาบ้าง วันเสาร์ ๕ ถือเป็นวันแรง วันขลัง วันที่ว่ากันว่ามีทั้งดีและร้ายอยู่ในตัว ซึ่งก็แล้วแต่จะอยู่ในกรณีใด ส่วนใหญ่แล้วในวันนี้จะใช้ในการประกอบพิธีกรรมหลายๆอย่าง จะทำให้พิธีเหล่านั้นเข้มขลัง มากกว่าวันทั่วไป เช่น สร้างพระ ปลุกเสกพระ ฯลฯ

     วันเสาร์ ๕ มี 3 ลักษณะ คือ วันเสาร์ ๕ เพศผู้ ,วันเสาร์ ๕ เพศเมีย และวันเสาร์ ๕ ใหญ่ ซึ่งวันเสาร์ ๕ เพศผู้นั้น จะหายากกว่า แรงกว่า ขลังกว่า เสาร์ ๕ เพศเมีย โดยเสาร์ ๕ เพศผู้ คือ วันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีใดๆก็ได้  สำหรับ วันเสาร์ ๕ เพศเมียนั้น ซึ่งก็ตรงกับวันนี้นั่นเอง คือ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๗ คือ วันเสาร์ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๕ ในปีใดๆก็ได้

     แต่สำหรับวันเสาร์ ๕ ที่ถือว่าแรงที่สุด คือ วันเสาร์๕ ใหญ่ คือ วันเสาร์ที่ตรงกับ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีขาล เป็นสุดยอดของวันเสาร์ ๕ เลยทีเดียว เกิดขึ้นยากมากๆๆ ชั่วชีวิตคนๆหนึ่ง จะได้พบเจอหรือเปล่าก็ยังไม่รู้

     ในทางโหราศาสตร์แล้ว ถือว่าวันนี้ วันเสาร์ ๕ เป็นวันดี ฤกษ์ดี วันแข็ง วันขลัง แต่ถ้าหากมองในทางพุทธศาสนาแล้ว พระพุทธเจ้าสอนว่าฤกษ์ดี คือ ช่วงเวลาที่เราทำความดี เมื่อใด เวลาใด วันใดที่เรากระทำความดี นั่นคือ ฤกษ์ดี 

     พุทธศาสนิกชน ควรตระหนักว่า วันนี้ฤกษ์ดี ฤกษ์แรง ให้ทำความดีแรงๆ สิ่งดีๆย่อมเกิดขึ้นอย่างแรงแน่นอน..

วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2557

ประวัติตุ๊ปู่จี๋ : พระมหาโพธิวงศาจารย์ (หลวงปู่สุจี กตสารมหาเถร) ตอนที่ 4

หุ่นขี้ผึ้งจำลองในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่

เกียรติคุณที่หลวงปู่สมควรได้รับการยกย่อง

     หลวงปู่(พระเดชพระคุณรพระมหาโพธิวงศาจารย์) นับเป็นปูชนียบุคคลที่ประเสริฐยิ่ง ที่พุทธศาสนิกชน ทั้งในจังหวัดแพร่ และต่างจังหวัดจะต้องจารึกไว้ไม่รู้ลืม พระเดชพระคุณท่าน ได้สร้างคุณประโยชน์มากมายมหาศาลแก่สังคม ประเทศชาติ และพระพุทธศาสนา

     หลวงปู่มีอัธยาศัยไมตรีดีกับทุกคน เป็นพระมหาเถระที่มีบารมีธรรมที่แผ่ไพศาล ศิษยานุศิษย์ทุกคนต่างซาบซึ้งในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระเดชพระคุณท่านหลายๆอย่าง และท่านได้ทำตนเป็นแบบอย่างที่ดีมาโดยตลอด อีกทั้งยังเปี่ยมล้นไปด้วยความเสียสละ มีความรับผิดชอบ เคารพ ระเบียบวินัย มุ่งมั่นในการทำงาน มีความจริงใจต่อผู้ร่วมงานทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์  เป็นผู้มีน้ำใจกว้างขวาง มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่พระเดชพระคุณท่านได้ประพฤติปฏิบัติมาโดยตลอด

     ศิษยานุศิษย์ที่ใกล้ชิดและอยู่ใต้บารมีธรรมของพระเดชพระคุณท่านย่อมรู้สึกซาบซึ้งเป็นที่สุด นับว่าเป็นปูชนียบุคคลที่หายากยิ่ง ไม่สามารถที่จะพรรณนาจริยาวัตรอันงดงามของพระเดชพระคุณท่านให้หมดสิ้นได้ เพราะฉะนั้น ศิษยานุศิษย์จงมีความภูมิใจเถิดที่ได้เกิดมามีบุญได้สนองงานของพระเดชพระคุณท่าน  ในการสร้างสรรค์สังคม จรรโลงพระพุทธศาสนาให้สถิติสถาพรสืบต่อไป

รางวัลและเกียรติคุณที่หลวงปู่ได้รับการยกย่อง

  • พ.ศ. 2526  ได้รับวัดพัฒนาดีเด่น จากกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ
  • พ.ศ. 2527  ได้รับเสาเสมาธรรมจักร ผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม สาขาการบริหารการศึกษา
  • พ.ศ. 2539  ได้รับเกียรติบัตร จากกรมราชทัณฑ์ ผู้บำเพ็ญประโยชน์ด้านการพัฒนาจิตใจ แก่ผู้ต้องขังอย่างต่อเนื่อง
  • พ.ศ. 2540  ได้รับเกียรติบัตร  จากสภาวัฒนธรรมจังหวัดแพร่ เป็นผู้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมงานด้านวัฒนธรรมของจังหวัดแพร่ 
     และสำหรับการก่อสร้างพระเจดีย์พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ หลวงปู่ก็เป็นผู้เริ่มวางศิลาฤกษ์ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๒ ณ วัดพนมขวัญ จังหวัดแพร่

ที่มา : เนื้อหาประวัติหลวงปู่สุจี กตสารมหาเถร  หรือพระเดชพระคุณพระมหาโพธิวงศาจารย์ ได้มาจากหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุปราสาทนกหัสดีลิงค์ มณฑลพิธีสนามหลวงจังหวัดแพร่ ๑๙-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖  โดย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พิมพ์เป็นธรรมบรรณาการ
โดยในเล่มจะมีเนื้อหาของ "ปัญญาต้องคู่กับกรุณาจึงจะพาชาติรอด"  พระพรหมบัณฑิต(ประยูร ธมมจิตโต ป.ธ.๙, Ph.D.) ศาสตราจารย์ , ราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์

วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2557

ประวัติตุ๊ปู่จี๋ : พระมหาโพธิวงศาจารย์ (หลวงปู่สุจี กตสารมหาเถร) ตอนที่ 3

หลวงปู่วางศิลาฤกษ์ สร้างพระเจดีย์พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๒
สมณศักดิ์ของหลวงปู่

  • พ.ศ. 2484 ได้รับแต่งตั้งเป็น พระใบฎีกา ฐานานุกรม ของพระปริยัติวงศาจารย์ (ฟู อัตตสิวมหาเถร)เจ้าคณะจังหวัดแพร่ วัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร
  • พ.ศ. 2493 ได้รับแต่งตั้งเป็น พระครูปลัด ฐานานุกรม ของพระเทพมุนี (ฟู อัตตสิวมหาเถร) เจ้าคณะจังหวัดแพร่ วัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร
  • พ.ศ. 2495 เป็นพระครูรองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ พระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษ ที่ "พระครูธรรมสารสุจิต"
  • พ.ศ. 2500 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ "พระภัทรสารมุนี" มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ 3 ตำแหน่ง คือ 
  1. พระปลัด
  2. พระสมุห์
  3. พระใบฎีกา
  • พ.ศ. 2515 เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ "พระราชรัตนมุนี ศรีโกไสยคุณาทร มหาคณิสสร บวรสังฆารามคามวาสี" มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ 4 ตำแหน่ง คือ
  1. พระครูปลัด
  2. พระครูสังฆรักษ์
  3. พระครูสมุห์
  4. พระครูใบฎีกา
  • พ.ศ. 2526 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ "พระเทพวิริยาภรณ์ สุนทรกิจโกศล วิมลธรรมานุสิฐมหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี" มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ 5 ตำแหน่ง คือ
  1. พระครูปลัด
  2. พระครูวินัยธร
  3. พระครูสังฆรักษ์
  4. พระครูสมุห์
  5. พระครูใบฎีกา 
  • พ.ศ. 2535 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ "พระธรรมรัตนากร สุนทรพรหมปฏิบัติ สมณวัตรโกศล วิมลปิฎกธาดา มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี"  มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ 6 ตำแหน่ง คือ
  1. พระครูปลัดรัตนวัฒน์
  2. พระครูวินัยธร
  3. พระครูธรรมธร
  4. พระครูสังฆรักษ์
  5. พระครูสมุห์
  6. พระครูใบฎีกา
  •  พ.ศ. 2540 เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ ที่ "พระมหาโพธิวงศาจารย์ ญาณจริยสมบัติ พุทธบริษัทปสาทนียคุณ วิบูลพัฒนวโรปการ ศาสนภารธุรทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี" มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ 8 ตำแหน่ง คือ
  1. พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ พิบูลศาสนธุราทร บวรธรรมรักขิต
  2. พระครูวินัยธร
  3. พระครูธรรมธร
  4. พระครูวิจิตสรคุณ (พระครูคู่สวด)
  5. พระครูวิบูลสรภัญ (พระครูคู่สวด)
  6. พระครูสังฆบริหาร
  7. พระครูสมุห์
  8. พระครูใบฎีกา

วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2557

ประวัติตุ๊ปู่จี๋ : พระมหาโพธิวงศาจารย์ (หลวงปู่สุจี กตสารมหาเถร) ตอนที่ 2


งานปกครอง


พ.ศ. 2501 เป็นพระอุปัชฌาย์ จนถึงปัจจุบัน พ.ศ. 2502 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้เป็นรองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง
พ.ศ. 2509 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดแพร่
พ.ศ. 2510 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดแพร่
พ.ศ. 2518 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสพระอารามหลวง
พ.ศ. 2522 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะภาค6
พ.ศ. 2540 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้เป็นกรรมการฝ่ายปกครองของมหาเถรสมาคม
พ.ศ. 2541 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค6

ในงานปกครองในวัด  หลวงปู่ได้จัดกิจกรรมภายในวัด รวมถึงกติกาในวัดดังนี้

1.มีการทำอุโบสถกรรม (สวดปาฏิโมกข์) ตลอดปี และมีพระภิกษุที่สวดปาฏิโมกข์ได้ 1 รูป 2.มีการทำวัตรสวดมนต์เช้า-เย็น เป็นประจำตลอดปี
3.มีระเบียบการปกครองของวัด เป็นไปตามกฏระเบียบของมหาเถรสมาคม พระธรรมวินัย และอาณัติสงฆ์ในเขตภาคเหนือจนถึงปัจจุบัน
4.มีกติกาของวัด โดยใช้กติกาของพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ฟู อัตตสิวมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร

งานการศึกษา

พ.ศ. 2484 เป็นครูสอนนักธรรมชั้นตรี สำนักเรียนวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร พ.ศ. 2486 เป็นกรรมการตรวจนักธรรมชั้นตรีสนามหลวง
พ.ศ. 2495 เป็นกรรมการตรวจนักธรรมชั้นโทสนามหลวง
พ.ศ. 2500 เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนบาลีมัธยมธรรมราชวิทยา
พ.ศ. 2506 เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์
พ.ศ. 2513 เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่พุทธโกศัยวิทยา (ปัจจุบันโรงเรียนพุทธโกศัยวิทยา)
พ.ศ. 2514 เป็นกรรมการนำประโยคข้อสอบธรรมไปเปิดสอบ ณ ประเทศมาเลเซีย
พ.ศ. 2530 เป็นรองอธิการบดีมหาจุฬาลงกรราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ วิทยาเขตแพร่
พ.ศ. 2541 เป็นประธานสภาวิทยาเขต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่

หลวงปู่ได้ส่งเสริมการศึกษาของพระภิกษุและสามเณร ดังนี้

       ได้ส่งเสริมพระภิกษุและสามเณรที่เรียนดีไปเรียนต่อในชั้นสูงต่อไป เช่น ส่งไปเรียน ณ สำนักเรียนวัดเบญจมบพิตรฯ สำนักเรียนวัดชนะสงคราม และสำนักเรียนวัดปากน้ำ ทั้งนี้ก็เพราะทางสำนักเรียนวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร ไม่ได้เปิดให้เรียนบาลีชั้นสูง (ตั้งแต่ ป.ธ. 5-9)และยังได้อุปถัมภ์ด้านจตุปัจจัยเป็นพิเศษให้กับภิกษุสามเณรที่ไปเรียน ต่อต่างประเทศอีกด้วย

งานเผยแผ่พุทธศาสนา

พ.ศ. 2486 เป็นกรรมการส่งเสริมศีลธรรมแพร่
พ.ศ. 2490 เป็นผู้แทนนำพระไตรปิฏกไปประดิษฐานที่อำเภอวังชิ้น
พ.ศ. 2497 เป็นอนุกรรมการ ก.ป.ช. จังหวัดแพร่
พ.ศ. 2508 เป็นประธานนำครู-อาจารย์โรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ออกอบรมศีลธรรมแก่ประชาชนตามอำเภอต่างๆ ในเทศกาลเข้าพรรษาจนถึงปัจจุบัน
พ.ศ. 2514 เป็นผู้ร่วมคณะเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปเผยแพร่ ณ ประเทศอินโดนีเซีย
พ.ศ. 2535 ได้ร่วมกับคณะเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปเผยแพร่ ณ ประเทศจีน
พ.ศ. 2539 ถึงปัจจุบัน(หลวงปู่ มรณภาพ 2 พฤศจิกายน 2554)
  • ได้แสดงพระธรรมเทศนาทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดแพร่ ชื่อรายการ
  • ได้เชิญชวนพระภิกษุสามเณรและคณะศรัธาญาติโยมผู้ใจบุญได้กระทำพิธีกรรมเกี่ยวกับวันสำคัญทางพุทธศาสนา เช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา    ตลอดจนวันสำคัญที่เกี่ยวกับบ้านเมืองด้วย
  • ได้ให้การอบรมศีลธรรมแก่นักเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์, โรงเรียนพุทธโกศัยวิทยาและพระนิสิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่ ในบางโอกาส
  • ได้ให้การอบรมศีลธรรมแก่ผู้ใจบุญในวันธัมมัสวนะที่วัดทุกวัน
  • ได้ให้การอบรมศีลธรรมแก่ประชาชนตามโครงการต่างๆ ของคณะสงฆ์ และหน่วยงานราชการ
  • ได้ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการใช้สถานที่วัดจัดประชุมสัมมนาสอบบรรจุและบำเพ็ญสาธารณกุศลอื่นๆ ธรรมะสู่ประชาชน เป็นประจำทุกวัน เวลา 05.15 น.

วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557

ประวัติตุ๊ปู่จี๋ : พระมหาโพธิวงศาจารย์ (หลวงปู่สุจี กตสารมหาเถร) ตอนที่ 1

ภาพจาก www.sasukrongkwang.com


เนื่องด้วย พระเดชพระคุณพระมหาโพธิวงศาจารย์ (สุจี  กตสารมหาเถระ) อดีตประธานสภาวิทยาเขตแพร่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร และอดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๖  ได้ถึงแก่ มรณภาพ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ.2554 กระผมก็ได้ไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพ ในวันที่ 19-28 กุมภาพันธ์ 2556 และได้รับหนังสือประวัติของหลวงปู่ มาด้วยเป็นที่ระลึก จึงอยากจะนำเสนอประวัติของหลวงปู่ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ


หลวงปู่จี๋ หรือ พระเดชพระคุณพระมหาโพธิวงศาจารย์(สุจี กตสาโร)

ชื่อเดิม ชื่อ สุจี  นามสกุล  ขรวงค์  เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน 2460  ขึ้น 14 ค่ำ ปีมะเส็ง บิดาชื่อ นายลาด   มารดาชื่อ  นางผัน  ขรวงศ์ เกิดที่หมู่ 6  ตำบลนาจักร  (ปัจจุบัน คือ ตำบลกาญจนา)  อำเภอเมืองแพร่  จังหวัดแพร่

*จังหวัดแพร่ จะใช้คำว่า "อำเภอเมืองแพร่" แทน "อำเภอเมือง"

ด้านการศึกษา หลวงปู่จบชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนวัดนาจักร ในชั้น ป.5 (สูงสุด ขณะนั้น)

หลวงปู่บรรพชาเป็นสามเณร ในวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2476  ณ วัดกาญจนาราม  ตำบลนาจักร  อำเภอเมืองแพร่  จังหวัดแพร่  พระอุปัชฌาย์ คือ พระครูมหาญาณสิทธิ์  เจ้าคณะอำเภอเมืองแพร่  *วัดมิ่งเมือง  อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่


หลวงปู่อุปสมบทเมื่ออายุครบบวช ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2481  ณ  วัดกาญจนาราม  ตำบลนาจักร อำเภอเมืองแพร่  จังหวัดแพร่  พระอุปัชฌาย์ คือ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ฟู อตตสิโว) (ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งสมณศักดิ์ที่ พระปริยัติวงศาจารย์) *วัดพระบาท ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่


* วัดมิ่งเมือง, วัดพระบาท  ปัจจุบันคือวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร

หลวงปู่มีความเชี่ยวชาญและชำนาญพิเศษ ในการเทศนา และอ่าน เขียน ภาษาล้านนาได้ (ภาษาล้านนาเป็นภาษาเมืองท้องถิ่น)

วิทยฐานะ

  • พ.ศ. 2484  - สอบได้นักธรรมชั้นเอก สำนักเรียนวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร 
  • พ.ศ. 2486  - สอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค สำนักเรียนวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร
  • พ.ศ. 2529  - ได้รับปริญญาพุทธศาสตรดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์(สาขาครุศาสตร์) จากมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
  • พ.ศ. 2536  - ได้รับปริญญาครุศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาการบริหารการศึกษา) จากสถาบันราชภัฏอุตรดิตถ์
  • พ.ศ. 2550  - ได้รับปริญญาครุศาสตรดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์(สาขาวิชาบริหารการศึกษา) จากมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง
  • พ.ศ. 2551  - ได้รับปริญญาปรัชญาดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาวิชาบริหารศาสตร์) จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้จังหวัดเชียงใหม่

วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ความคืบหน้า การก่อสร้างพระเจดีย์พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ วัดพนมขวัญ จ.แพร่








การก่อสร้างมีความคืบหน้าไปพอสมควรครับ มีการเทปูนที่พื้น เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้
ปัจจุบันก็ยังขาดปัจจัยในการก่อสร้างอยู่ครับ  หากพุทธศาสนิกชน หรือผู้มีจิตศรัทธา สามารถร่วมบริจาคสมทบทุนในการก่อสร้างได้ครับ  ที่นี่

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

ร่วมสร้างพระเจดีย์พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์

วัดพนมขวัญขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกท่านร่วมร่วมสร้าง
พระเจดีย์พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์
:: เฉลิมพระเกียรติ ร.๙    ๘๔พรรษา  มหาราชา ::
เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา และถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


แบบแปลนครั้งแรกที่เริ่มสร้าง


วัตถุประสงค์ในการสร้างพระเจดีย์
๑.เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
๒.เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๓.เพื่อให้ศาสนิกชนชาวพุทธได้ระลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์
๔.เพื่อเป็นสมบัติในพุทธศาสนาสืบต่อไป เพื่อให้พระพุทธศาสนายั่งยืนจนครบ ๕,๐๐๐ ปี ตามพุทธทำนาย
๕.เพื่อสะเดาะเคราะห์ให้กับประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยพบกับความสันติสุข สงบ ร่มเย็น มีแต่ความปรองดอง สามัคดี


เริ่มวางศิลาฤกษ์ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๒ โดย หลวงปู่สุจี กตสาโร(ตุ๊ปู่จี๋) วัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร ปัจจุบัน หลวงปู่ได้มรณะภาพไปแล้ว


ประมาณการงบประมาณ ๑,๐๘๐,๐๐๐ บาท (ประมาณการในครั้งแรก) 
ซึ่งปัจจุบันคาดว่าคงต้องใช้งบประมาณมากกว่านี้


การก่อสร้างในปี 2552 - 2553




การก่อสร้างปี 2554 - 2555


การก่อสร้างปี 2556

3 ภาพนี้  ณ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2556
 
 


การก่อสร้างปี 2557

     ณ  6 มกราคม 2557



ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชน ร่วมสร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ สนใจร่วมบริจาคสมทบทุนได้ที่ 
บัญชี วัดพนมขวัญ ประเภทออมทรัพย์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
สาขาย่อยแม่หล่าย เลขที่บัญชี  008 – 2 – 85243 – 9
หรือ

หรือ สามารถติดต่อด้วยตนเองได้ที่วัดพนมขวัญ ติดต่อ พระใบฎีกาสิริวุฒิ  ปญฺญาวชิโร (เจ้าอาวาส)โทรศัพท์ 086-9157589 , 054-646666
ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ร่วมสมทบทุนสร้างพระเจดีย์ด้วยครับ