วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

แปลกใจไหม ? ทำไม บางวัดจะมีตู้ชำระหนี้สงฆ์

ชำระหนี้สงฆ์
     หลายๆท่านอาจจะงง กับคำว่าชำระหนี้สงฆ์ ว่าชำระไปทำไม ? ไปเป็นหนี้สงฆ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ก็ไม่ได้เคยยืมเงินพระสักบาท จะเป็นหนี้สงฆ์ได้อย่างไร ?

     หลวงพ่อฤษีลิงดำเคยกล่าวไว้ว่า ผืนแผ่นดินใดที่เคยเป็นวัดมาก่อน แม้จะถูกปล่อยร้าง จนไม่หลงเหลือความเป็นวัดอย่างที่ควรจะเป็น แต่ถึงอย่างไรก็เป็นธรณีสงฆ์อยู่เหมือนเดิม หากมีผู้นำของ, เศษไม้, เศษดิน, ฯลฯ ออกจากธรณีสงฆ์นั้น แม้จะไม่รู้ ก็จะถือว่าเอาของสงฆ์ไป และติดกรรมตรงนี้ หากตายไปแล้ว อาจจะทำให้เกิดเป็นเปรตได้  ดังนั้น พระท่านจึงแนะนำว่า หากเรามีโอกาสเข้าวัดเข้าวา ควรถวายเงินสักเล็กน้อยหรือแล้วแต่ศรัธทา โดยอธิฐานว่า เงินจำนวนนี้ขอชำระหนี้ให้กับสงฆ์ อย่าได้ติดกรรมเป็นหนี้สงฆ์อีกต่อไป ซึ่งหากเท่าทำเช่นนี้ ถึงแม้ว่าเราจะรู้ หรือไม่รู้ว่าเราเป็นหนี้สงฆ์หรือไม่ ? ก็จะทำให้เราปลอดภัยจากอบายภูมิในระดับหนึ่ง

    คำว่าหนี้สงฆ์ ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นหนี้พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง แต่หมายถึงเป็นหนี้ต่อสิ่งที่เป็นของพุทธศาสนา คือสิ่งต่างๆที่อยู่ในเขตวัดทั้งหมด ถือเป็นของสงฆ์ ของพุทธศาสนา  แต่.... ถ้าเรายืมเงินพระรูปใดรูปหนึ่ง ซึ่งเงินนั้นเป็นเงินส่วนตัวของพระรูปนั้น ไม่ถือว่าเป็นหนี้สงฆ์ แต่เป็นหนี้พระรูปนั้นนะครับ ถ้าจะชำระต้องไปชำระหนี้ต่อพระรูปนั้น...

     หลายท่านไม่เข้าใจว่า พระมีเงินได้ไหม ?  มีได้ครับ ซึ่งเกิดจาก ญาติโยมเค้าถวายปัจจัยโดยระบุว่าจะให้พระรูปนี้ใช้ส่วนตัว ก็ทำได้ แต่ถ้าญาติโยมเค้าระบุว่าจะถวายวัด โดยถวายผ่านพระ แต่พระนำเงินส่วนนั้นไปเป็นของตัวเอง ถือว่าพระนั้นผิด เพราะเอาของสงฆ์มาเป็นของตัวเอง ตายไปมีสิทธิ์เป็นเปรตได้เลยนะครับ

     เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องระเอียดอ่อน แต่ผู้ไม่รู้ ไม่ถือว่าไม่ผิดนะครับ คือ สรุปว่าไม่รู้ก็ผิดครับ  เหมือนเราไม่รู้ว่าการฆ่าสัตว์เป็นบาป ก็เลยฆ่าสัตว์  แล้วพระมาบอกว่ามันบาปนะ เราก็จะบอกว่าที่ผ่านมาเราไม่บาปเพราะเราไม่รู้ แบบนี้ไม่ได้...  ดังนั้นผู้รู้จึงบอกว่าควรศึกษาธรรมะไว้บ้าง จะได้รู้ทางหนีอบาย และหนักจะได้เป็นเบา

     สังคมไทยรู้และเชื่อเรื่องบาปบุญมานานแล้ว ทำให้วัฒนธรรมไทยหลายอย่าง เป็นกุศโลบายในการให้ลูกๆหลานๆได้ห่างไกล อบายภูมิ เช่น  การรดน้ำดำหัว เพื่อขอขมากรรม กับพ่อ แม่ ญาติผู้ใหญ่ จะได้ไม่ติดกรรมหนัก เพราะกรรมไม่ดีต่อพ่อและแม่เป็นกรรมหนักมากก.. และประเพณีขนทรายเข้าวัด ก็เป็นประเพณีอย่างหนึ่งที่ชำระหนี้สงฆ์ได้ ผู้เฒ่าผู้แก่ว่าไว้ แม้เราจะไม่ได้เอาอะไรไปจากวัด แต่เวลาเราเข้าวัด พอกลับบ้าน เราเหยียบเอาเม็ดดินเม็ดทรายจากวัด มาบ้านเรา ซึ่งถือว่าเอาของวัด ของสงฆ์มาเช่นกัน การขนทรายเข้าวัด ก็เท่ากับใช้หนี้สงฆ์นั่นเอง

     สุดท้าย โดยเฉพาะท่านที่อยู่ใกล้วัด เช่น เปิดร้านต่างๆในวัด, นอกวัด, ใช้น้ำ, ใช้ไฟฟ้าวัด อันนี้ต้องระวังให้ดี ลองสังเกตุว่าท่านเก็บเงินอยู่หรือไม่ หรือเก็บเงินได้เท่าไหร่ก็มีเหตุให้ต้องเสียไปกับเรื่องต่างๆ อันนี้ต้องรีบเลยครับ ชำระหนี้สงฆ์ให้ไว  มนุษย์เราไม่รู้วันตาย หากเราตายก่อนได้ชำระหนี้สงฆ์ บอกได้คำเดียวว่าเป็นผีที่หัวเราะไม่ออกไปอีกนาน...




วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

ความจริงที่ควรรู้ เกี่ยวกับคำทำนาย!


     มีเรื่องเล่าทางพุทธศาสนาอยู่เรื่องหนึ่งที่อยากจะให้หลายๆท่านได้รับทราบเรื่องราวก่อนที่จะพูดถึงคำทำนายต่างๆจากผู้มีคุณวิเศษ,ผู้รู้,ร่างทรง หรือใครก็ตามในปัจจุบันที่หลายๆคนบอกว่า บางครั้งก็ถูก บางครั้งก็ผิด สรุปว่าคนทำนายนั้นแม่นหรือมั่วกันแน่

     ในอดีตกาลผ่านมา มีเมืองอยู่ 2 เมืองสู้รบกันอยู่อย่างช้านาน โดยไม่มีใครยอมใคร สมมุติว่าเป็นเมือง A กับ เมือง B ละกัน  วันหนึ่งมีพระฤษีตนหนึ่งที่บำเพ็ญเพียรมานานมักจะพบกับพระอินทร์อยู่บ่อยๆ นึกอย่างไรไม่ทราบ เลยลองถามพระอินทร์ดูว่า ระหว่าง 2 เมืองนี้ที่สู้รบกัน ผลสุดท้ายแล้วเมืองไหนจะชนะกันแน่ เพราะไม่มีท่าทีจะจบลงเอาซะเลย (อยากรู้ ว่างั้นเถอะ) พระอินทร์ก็เลยบอกว่า ถ้าสู้รบกันแบบนี้ต่อไป เมือง B จะชนะ  อืม เมื่อทราบแบบนี้ท่านพระฤษีก็หายความอยากรู้ไปบ้าง

     วันหนึ่งมีคงจะมีคนไปถามท่านพระฤษีเข้าถึงเรื่องเดียวกัน ว่าเมืองทั้ง 2 เมืองนี้ สุดท้ายแล้วเมืองไหนจะชนะ ท่านพระฤษีก็บอกไปเลยว่า เมือง B ชนะแน่นอน และแล้วข่าวก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ว่าท่านพระฤษีที่เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไปบอกว่าแบบนี้ หลายๆคนต่างเชื่อ โดยเฉพาะชาวเมือง B ที่ถูกทำนายว่าจะชนะ ต่างก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากว่าตนต้องชนะแน่นอน จึงไม่ค่อยจะออกแรงรบเหมือนเมื่อก่อน ไม่กระตือรือร้นเหมือนเมื่อก่อน เพราะคิดว่ายังไงๆ ก็ชนะแน่นอน

     ส่วนเมือง A แทนที่จะมีความรู้สึกหดหู่ใจ ว่ายังไงตนเองก็ต้องแพ้  แต่กลับกลายเป็นว่าถึงแม้จะแพ้ก็จะขอสู้ให้สุดชีวิต ไม่ย่อท้อ  ไม่ยอมถอย และไม่สนใจคำทำนายใดๆ อีกต่อไป

     สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าเมือง A ชนะ เมือง B ผิดจากคำทำนายของพระอินทร์ซะนี่  คราวนี้พระฤษีโดนโจมตีอย่างหนักว่าทำนายผิดจากประชาชนชาวเมือง B พระฤษีเองก็งง ไม่คิดว่าพระอินทร์จะพูดเท็จ จึงไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ กะว่าจะถามให้รู้เรื่องว่าทำไมถึงบอกว่าเมือง B ชนะ ทั้งๆที่สุดท้ายแล้ว เมือง A ชนะเห็นๆ

     พระอินทร์จึงอธิบายว่า ถ้าหากปล่อยให้ทั้ง 2 เมืองนี้ รบกันไปเรื่อยๆ เมือง B ชนะแน่นอน แต่ในกรณีนี้ ท่านพระฤษีได้ปล่อยข่าวออกไป ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ตัวคน คือ ประชาชนชาวเมือง B ทำให้เกิดมีความประมาทว่าตัวเองชนะแน่นอน เลยทำตัวสบายๆ ชิวๆ ลดความเข้มข้นในการรบลงไป แต่กลับกันกับประชาชนชาวเมือง A ที่ถูกทำนายให้แพ้ กลับฮึดสู้ยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ และสุดท้ายก็สามารถเอาชนะคำทำนายได้ในที่สุด

     ในปัจจุบัน มีผู้ที่ถูกกล่าวขานว่าสามารถทำนายอนาคตได้ในเรื่องต่างๆ มากมาย เช่น หมอปลาย เสียงกระซิบจากยมบาล, คำทำนายของเด็กชายปลาบู่, คุณเจน ญาณทิพย์, ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ เป็นต้น  คำทำนายหลายอย่างก็เกิดขึ้นจริงไปแล้ว บางอย่างก็ไม่ได้เกิดขึ้นตามคำทำนาย ดังนั้นก็ไม่แปลกอะไร ถ้าจะเห็นว่ามีทั้งคนเชื่อ และไม่เชื่อ

     ผมคงไม่สรุปว่าคำทำนายของบุคคลต่างๆเหล่านั้นของจริง หรือ มั่ว เพราะเรื่องเล่าด้านบนคงจะเป็นคำตอบได้บ้างแล้วในบางส่วน  แต่สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำอย่างหนึ่งก็คือ อยากให้มองคำทำนายต่างๆ เป็นเหมือนคำเตือน ให้ตัวเราไม่ประมาท อิงหลักของเหตุและผลให้มาก ไม่ตื่นตระหนกจนเกินไปสำหรับคนที่เชื่อ

     เราลองมาดูนักพยากรณ์ระดับโลกที่ใครๆก็รู้จักกันบ้างครับ นั่นคือ นอสตราดามุส นั่นเอง การทำนายของท่านนั้น ส่วนใหญ่ทำเป็นปริศนา ซึ่งจะไม่บอกตรงๆว่าจะทำนายอะไร จะรู้ก็ต่อเมื่อเหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นแล้ว แล้วลองเอามาเทียบกับคำทำนายของท่าน หลายคนก็บอกว่า อ๋อ ที่แท้ คำทำนายของท่านเป็นแบบนี้นี่เอง แม่นจริงๆ  แต่อีกหลายคนก็บอกว่าเป็นการเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วไปผูกกับคำทำนายที่มีมากมายของนอสตราดามุส จนเหมือนว่าท่านทำนายได้แม่น ซึ่งจริงๆก็มั่ว ตีความกันไปจนไปตรงคำทำนายกันเอาเอง จึงมีทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อ

     มีคำทำนายของท่านอยู่เรื่องหนึ่งที่ดังมากๆ ตอนนั้นผมก็คิดว่าอาจจะเป็นจริงก็ได้นะ นั่นก็คือ คำทำนายว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ในปี 1999 ผู้คนจะอดอยาก ล้มตายเป็นจำนวนมาก  หลายคนมีการตั้งกลุ่มสวดมนต์เพื่ออย่าให้เกิดเหตุการณ์นี้  บางกลุ่มฆ่าตัวตาย บางกลุ่มก่อจราจล บางกลุ่มหาทางป้องกันต่างๆนานา  ผู้นำหลายๆประเทศตื่นตระหนกไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เหมือนในคำทำนาย และสุดท้ายก็ไม่เกิดเหตุการณ์ตามคำทำนายนั้น

     ผมจึงขอทิ้งท้ายไว้ให้คิดสักนิดว่า คำพยากรณ์ของ นอสตราดามุส ในเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 3 ถูกต้องหรือไม่ ? หรือถ้าไม่มีคำทำนายนี้ โลกของเราอาจจะเข้าสู่ยุคของสงครามโลกครั้งที่3 ไปแล้วก็ได้! แล้วท่านยังจะสนใจผลของการทำนายว่าจะถูกต้องอีกหรือไม่ ?  กับคำว่า "แม่นจังเลย"แต่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายมากมาย  กับ "ไม่เห็นจะแม่นเลย" แต่มนุษยชาติปลอดภัย เป็นคุณจะเลือกเอาอย่างไหน ???

     ในทางพุทธศาสนา "ชีวิตมนุษย์ถูกกรรมลิขิต" แต่มนุษย์ก็สามารถชนะกรรมได้ ตัดกรรมได้ ข้อพิสูจน์ก็คือ "พระอรหันต์" ผู้ที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้วนั่นเอง  ดังนั้นจงเชื่อเถอะครับว่า กรรมปัจจุบันนี่แหละ ที่จะเป็นตัวลิขิต/เปลี่ยนแปลงคำทำนายในอนาคตได้


ปล.ในทางพุทธศาสนา เชื่อว่า มีคำทำนายประเภทหนึ่งที่จะเป็นจริงอย่างแน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ "พุทธทำนาย"  ซึ่งจะแตกต่างจากคำทำนายที่ได้กล่าวมาข้างต้น.

วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2558

อัพเดทความคืบหน้าการก่อสร้าง พระเจดีย์พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ (11-01-58)

อัพเดทความคืบหน้าการก่อสร้างเจดีย์ 11-01-58 ครับ









เชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกท่านร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรัตนธาตุเจดีย์เฉลิมพระเกียรติ ร.๙

วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2558

ยังจำกันได้ไหม ? หลวงพ่อฤษีลิงดำเคยพูดถึง "หลุมดำ" ในอวกาศว่าอย่างไร ?

หลวงพ่อฤษีลิงดำเล่าเรื่องดวงดาวและหลุมดำ

ท่านสามารถหาอ่านได้ที่เว็บวัดท่าซุงครับ ตาม link นี้



     นานมาแล้ว ในปี พ.ศ. 2530  หลวงพ่อฤษีลิงดำเคยเขียนและพูดเกี่ยวกับดาวดาวต่างๆในอวกาศ ที่ทางนักวิทยาศาสตร์ในต่างประเทศเค้าสนใจกันนัก ในรูปแบบของนิทานธรรมะ จะจริงก็ไม่แน่ จะเท็จก็ไม่เชิง เพราะท่านบอกว่าเป็นนิทาน จึงอยู่ในใครจะเชื่อในระดับใดมากกว่า.


     วันนี้ผมนึกขึ้นได้ว่านานมาแล้ว ได้เคยอ่านมา 1 รอบ ในเรื่องของดาวหลุมดำของหลวงพ่อฤษีลิงดำหรือหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโรมหาเถระ) รู้สึกตื่นตา ตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะผมเป็นคนที่สนใจในเรื่องของดวงดาวต่างๆอยู่แล้ว และคิดอยู่เสมอว่าหากวิทยาศาสตร์ยังไม่ก้าวหน้าพอที่จะส่งอะไรสักอย่างไปสำรวจสิ่งเหล่านั้น เช่น หลุมดำ ที่อยู่ห่างไกลแสนไกล คงมีแต่เพียง "จิต" เท่านั้นที่เดินทางได้ไวกว่าแสง และ(นิทาน)หลวงพ่อฯก็ได้ถอดจิตไปสำรวจ แล้วจึงเมตตากลับมาเล่า(นิทาน)ให้พวกเราได้ฟัง  สิ่งที่ได้นอกเหนือจากความสนุกของนิทาน ก็คือ "ธรรมะ" นั่นเอง

    ในหนังสือชุดนี้ มีหลายดวงดาวที่จุไร ได้ท่องเที่ยว แต่ที่ผมสนใจที่สุดคือดาว "หลุมดำ" ในทางวิทยาศาสตร์นั้น หลุมดำเกิดจากการระเบิดของดวงอาทิตย์ที่มีขนาดใหญ่มากๆ เพราะมวลที่มหาศาล ทำให้เกิดมีแรงดึงดูดมหาศาลเข้าสู่ศูนย์กลาง กลายเป็นหลุมดำ ที่ดูดทุกสิ่งแม้แต่แสงก็ไม่สามารถหลุดออกมาได้ และสิ่งใดที่โดนดูดเข้าไปก็จะไม่กลับมาอีกเลย(หรือไปโผล่ที่ไหนก็ไม่ทราบ)

     แต่ดาวหลุมดำในนิทานของหลวงพ่อฯนั้น คือ ดาวดวงหนึ่งที่มีขนาดใหญ่มากๆๆๆ แต่ไม่ได้มีทรงกลม  มันเหมือนดาวที่เคยเป็นทรงกลมมาก่อน แต่ตอนนี้เหลือเพียงบางส่วน ซึ่งหลวงพ่ออธิบายประมาณว่า เหมือนผลส้ม ที่ตัดครึ่ง อีกครีงยังอยู่ อีกครึ่งหายไป และในครึ่งที่ยังอยู่นั้น เราก็เอาเนื้อส้มออกซะ ให้เหลือแต่เปลือกส้มเท่านั้น มันก็จะมีเหมือนแอ่งในนั้น และในแอ่งนั้นเอง ก็มีดวงดาวต่างๆ หมุนเวียนกันเข้าไป แล้วก็ออกมา แต่เนื่องจากเปลือกส้มครึ่งผลนั้น ใหญ่มากกกๆๆๆ เมื่อดวงดาวต่างๆเข้าไปแล้ว ก็ต้องใช้เวลานานเป็นปีๆ ในการออกมา ถ้านานมากๆก็อาจจะเป็น 100 ปีก็เป็นได้

     และดาวหลุมดำนี้เอง เป็นที่อาศัยของมนุษย์อีกดวงดาวหนึ่ง ชื่อว่า "ชินโลก" ที่มีวิทยาการล้ำหน้าอย่างยิ่ง สามารถสร้าง ยาน ที่มนุษย์ในโลกของเรา เรียกว่า "จานบิน" ขับเคลื่อนโดยแร่บางชนิด ที่ในนิทานกล่าวว่า แร่ชนิดนี้น่าจะเป็นแร่กัมมันตรังสีชนิดหนึ่ง ที่เมื่อหมดสภาพแล้วจะกลายเป็นเพชร ซึ่งด้วยพาหนะดังกล่าว ทำให้มนุษย์ในโลกนั้น สามารถเดินทางไปในอวกาศได้ในระยะทางไกลๆ ด้วยเวลาไม่มากนัก

    แต่ที่สำคัญที่สุด คือ มนุษย์ที่ชินโลก นั้น มีอายุยืนถึง 12,000 ปี และจะไม่ตายก่อนอายุขัยเสียด้วย อาจจะเป็นเพราะโลกนั้น เค้ามีคุณธรรมเด่น 2 ประการ คือ  เจริญพรหมวิหาร 4 และ กรรมบถ 10 อยู่เสมอ และถือเป็นกฏหมายสูงสุดของมนุษย์ในโลกนั้น  สาเหตุก็เพราะในชินโลก มีพุทธศาสนาและมีพระโมคคัลลานะ มาแสดงธรรมให้ฟังอยู่เสมอๆ ถึงแม้ในโลกของเรา(earth) ท่านจะนิพพานไปแล้วก็ตาม

    เอาเป็นว่าเรื่องราวจะน่าสนใจแค่ไหน ลองเข้าไปอ่านดูครับ เราศึกษาดาราศาสตร์ตามวิทยาศาสตร์มาพอสมควรแล้ว ลองศึกษาดาราศาสตร์จากนิทานธรรมะ ของหลวงพ่อฤษีลิงดำดูบ้าง ว่าจะมีความเหมือน-ความแตกต่างอย่างไร ? เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบมาแล้วถึง 2,500 ปี นักวิทยาศาสตร์พึ่งมาค้นพบว่าจริงก็มีมากมาย !

    หากใครได้ศึกษาถึงวิทยาศาสตร์ควอนตัม, ทฤษฏีสัมพันธภาพ ฯลฯ จะเห็นว่าแนวโน้มของวิทยาศาสตร์จะเริ่มพบทางตันหากยังศึกษาแต่ในรูปธรรม ดังนั้นวิทยาศาสตร์แนวใหม่ มักจะกล่าวถึง นามธรรม มากขึ้นเรื่อยๆ  หากท่านนึกไม่ออก ลองนึกถึงไอสไตน์ ที่ค้นพบว่า มิติที่ 4 คือ มิติของเวลา เป็นปัจจัยสำคัญของคำตอบหลายๆเรื่อง  ซึ่งเรื่องของเวลานี่แหละครับ คือ นามธรรม