วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ประสบการณ์กรรม "กรรมของคนตกปลา"

คนตกปลา
     หากได้ขึ้นชื่อว่ากรรมชั่วแล้ว ย่อมไม่ดีอย่างแน่นอน แต่บางครั้งสิ่งที่เราเห็นผู้คนมากมายทำอยู่ทุกวันอย่างปกติ เราอาจจะคิดว่าคงไม่ใช่ "กรรมชั่ว" เพราะใครๆเขาก็ทำกัน และไม่เห็นว่าใครจะเป็นอะไร

     แต่การเบียดเบียนสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ย่อมผิดศีล ชาวพุทธส่วนใหญ่ทราบดี แต่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถทำได้ 100% เพราะชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ มันช่างล่อแหลมต่อการผิดศีลซะเหลือเกิน(ขอพูดถึงศึลข้อที่1) อย่าง มด ยุง นี่เราก็ตบ ก็บี้ตาย กันแทบทุกวัน  ไม่ตีมัน มันก็กัดเรา อะไรประมาณนั้น ซึ่งผมเองก็ไม่ต่างกัน  แต่ก็จะพยามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้

     วันนี้จึงอยากจะเล่าเรื่องของผมเอง ที่เกี่ยวกับการตกปลา หรือเบียดเบียนชีวิตปลา ในอดีตที่ผ่านมาว่าผมได้รับผลกรรมอะไรบ้าง เพื่อเป็นอุทาหรณ์ ให้แก่ผู้ที่ยังชื่นชอบตกปลาอยู่

     ในวัยเด็กของผมเติบโตเหมือนกับเด็กชาวบ้านธรรมดา เกิดมาในพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว นิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่จำความได้ คือ ชอบตกปลา  แต่จะชอบในการใช้เบ็ด มากที่สุด รองลงไปก็อาจจะเป็น "ยอ"  และถ้าจะถามว่าอะไรทำให้ผมชอบตกปลา.....  ผมเคยถามตัวเองเหมือนกันว่าเพราะอะไร ?  และคำตอบที่ได้คือ ความท้าทาย ความที่เราต้องลุ้นว่า เราจะได้ปลาอะไร  ตัวใหญ่หรือไม่  ซึ่งพอตกมาได้แล้ว ก็จะรู้สึกภูมิใจว่าเรานี่เก่ง.

     ผมตกปลาตั้งแต่ 5-6 ขวบ และไม่เคยมีความคิดว่าจะตกปลามากิน  ผมตกปลามาได้ ก็เอามาขังไว้บ้าง ปล่อยบ้าง เอาไปเป็นเหยื่อปลาตัวอื่นๆบ้าง น้อยครั้งที่จะเอามารับประทานเป็นอาหาร และยังมีบางครั้งที่เอาปลามาทรมานเล่น ซึ่งทำให้ผมรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้

     นอกจากจะชอบตกปลา จับปลาแล้ว ก็ยังชอบเลี้ยงปลาอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นปลาสวยงาม หรือปลาที่ใช้เป็นอาหาร เช่น ปลาดุก ปลาช่อน   ซึ่งสำหรับปลาสวยงามนั้น มักจะตายโดยสาเหตุต่างๆ เช่น น้ำขุ่น ปลากัดกันตาย ซึ่งแม้จะเลี้ยงหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่รอด  และพวกปลาดุก ปลาช่อน ก็เลี้ยงเอาไว้จะให้มันโต  แต่ก็ไม่เคยได้กินพวกมันสักที เพราะมักจะตายหมด

     กลับมาที่เรื่องตกปลา ผมมักจะหาเวลาว่างไปตกปลาอยู่เสมอๆ กับเพื่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ที่เค้าบอกว่ามีปลาเยอะ ปลานั้น ปลานี้ ก็ไปกันตลอด  เช่น เลิกเรียนตอนเย็น  เสาร์อาทิตย์ ได้บ้าง  ไม่ได้บ้าง แล้วแต่วัน  แต่ส่วนใหญ่ปลาที่ได้  ไม่เคยเอามากิน  เรียกได้ว่าแค่ตกเล่นๆเท่านั้น  แต่ปลานั้นก็ตายซะส่วนใหญ่  มีน้อยมากที่ถูกปล่อยลงน้ำ

     และก็มาถึงการทรมานปลา โดยความไม่รู้เท่าถึงกาลของกระผม เนื่องจากเวลานั้น ยังเด็ก ยังไม่รู้ปะสีปะสาอะไร ทำไปด้วยความสนุก คะนอง ไม่เคยคิดถึงผลกรรมที่จะตามมาในอนาคต   ในตอนเด็กในวัยประถม-มัธยมต้น โดยเฉพาะถดูของการเฉลิมฉลองเทศกาลลอยกระทง  มักจะมีการจุดประทัดกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งในอดีตนั้น มีการจุดกันอย่างไม่มีใครห้าม เหมือนปัจจุบันนี้  ผมชอบเอาปลาที่ตกมาได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปลาหมอ  นำมามัดติดกับประทัดขนาดต่างๆ แล้วจุด  บางครั้งก็เอาประทัดยัดปากปลาแล้วจุด ซึ่งก็เล่นกันอย่างนี้  ด้วยความรู้สึกในตอนนั้นคือเรามีอุปกรณ์ที่จะทำลายอะไรก็ได้(ประทัด) และก็ต้องหาอะไรทำลาย(ปลา) ถ้าหากปลาถูกระเบิดจากประทัด มันเป็นการแสดงศักยภาพของประทัดนั้นๆว่าจะรุนแรงแค่ไหน  ในตอนนั้นผมไม่รู้สึกถึงบาปกรรมอะไรเลย  ได้แต่เล่นสนุกเท่านั้น

     และแล้วก็มาถึงวันที่ผมต้องรับผลกรรมจากการใช้ประทัดทรมานปลา และยัดปากปลาแล้วจุดประทัด ซึ่งวันนั้นเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง ซึ่งผมจำได้ว่าผมอยู่ในช่วงมัธยมต้น ผมขี่จักรยานไปบ้านเพื่อนตามปกติ พอไปถึงบ้านเพื่อน ก็เจอเพื่อนๆคุยกัน  ผมก็ขี่เข้าไปแต่ไม่คิดจะลงจากรถจักรยาน คิดเพียงแต่ว่าจะเอาเท้ายันตอไม้เพื่อไม่ให้จักรยานล้ม โดยที่ผมก็คุยกับเพื่อนๆไปด้วย แต่ทันใดนั้น  เท้าที่ยันเพื่อทรงตัวไว้ ก็เกิดลื่น ผมก็เสียหลักเอา"ปาก" ไปฟาดกับอะไรบางอย่างที่เป็นของแข็ง ซึ่งผมเจ็บปวดมากๆ โดยเฉพาะริมฝีปากล่าง บวมและมีเลือดออก ผมจึงกลั้นใจกลบเกลื่อนเพื่อนๆแล้วขอตัวกลับบ้านทันที

     ขณะที่ปากฟาดลงไป จนถึงขณะพยายามขี่จักรยานกลับบ้าน มันมีความเจ็บปวดทรมานมากๆ จนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว และภาพๆหนึ่งก็ปรากฏในหัวสมอง เป็นภาพของ "ปลา" ที่ถูกเอาประทัดยัดปากแล้วจุดให้ระเบิด ตูม !!  อ่า  หรือนี่จะเป็นกรรมที่เราได้ทำไว้กับปลาพวกนั้น  ผมคิดในใจ  เมื่อกลับถึงบ้าน พ่อแม่ก็ใส่ยาให้ ปฐมพยาบาลให้ อาการก็ดีขึ้นนิดหน่อย  แต่ก็ยังเจ็บปวดทรมานมาก กินอะไรก็ไม่ค่อยได้ มันปวด มันบวม และที่สำคัญ ริมฝีปากด้านล่างของผมมันบวมขึ้นจนเห็นได้ชัดเจน ส่วนอาการปวดนั้น เป็นอยู่ 1 อาทิตย์เต็มๆจึงหาย แต่.......  ริมฝีปากด้านล่างของผมนั้น ขนาดมันไม่เท่าเดิมครับ คือ มันเหมือนบวมๆตลอดเวลา (น้อยกว่าตอนเป็นใหม่ๆ แต่ใหญ่ตอนก่อนที่จะเจ็บ) แต่ไม่เจ็บแล้ว และเป็นอย่างนั้นจนถึงทุกวันนี้ครับ

     เรื่องยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ เพราะผมยังไม่ได้เลิกตกปลา แต่เลิกทรมานปลาแล้ว  แต่การตกปลาของผมก็ลดลง แต่ไม่เลิก  มีโอกาสเหมาะๆก็ยังไปตกปลาอยู่  ซึ่งตอนนั้นผมมักจะมีอาการอย่างหนึ่งเสมอๆ คือ เป็นโรคปากนกกระจอก คือ ที่มุมปากเป็นแผล ซึ่งผมเป็นบ่อยมากๆ  ไปหาหมอๆก็บอกว่าขาดวิตามิน B2 ให้กินผักมากๆ  แต่ผมเป็นคนที่กินผักอยู่แล้ว ก็ไม่ทราบว่าทำไมถึงเป็นโรคนี้ได้  ผมมักจะมีอาการโรคเลือดออกตามไรฟัน หรือ โรคลักปิดลักเปิด อยู่เสมอๆ ทั้งๆที่อาหารแต่ละชนิดที่ผมกินมักจะไม่ขาดวิตามิน C อย่างแน่นอน   รวมถึงแผลร้อนใน ในปากของผม พบได้บ่อยมากๆ เป็นๆหายๆอยู่เสมอจนต้องมียาป้ายปากติดบ้านตลอด

     สำหรับโรคสุดฮิตของผมเลย ก็คือ โรคเจ็บคอ คออักเสบ ทอลซิลอักเสบ ไม่ว่าจะแปรงฟันเช้าเย็นตอลด ดูแลช่องปากได้ดีแค่ไหน ก็ยังเจอกับโรคนี้เสมอๆ จนตอนเด็กๆ หมอที่คลีนิคประจำ ไม่ต้องตรวจ แค่เดินเข้าไปก็ทราบแล้วว่ามาเพราะอะไร !!  หรือนี่จะเป็นเรื่องของกรรม !!

     ยังไม่หมดครับ ยังไม่หมด !! เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ฟันต่างๆของผมที่ถูกเปลี่ยนผ่านจากฟันน้ำนม มาเป็นฟันแท้  ในฟันด้านซ้าย ทั้งบน ทั้งล่าง ตรงฟันฉีก หรือบางคนเรียกเขี้ยวหมา ของผมมีลักษณะพิเศษ คือ ฟัน 2 ซี่นี้ จะไม่สามารถทำให้มันไปสบกับฟันซี่อื่นๆเลยในบริเวณใกล้เคียง นอกจากฟันทั้ง 2 ซี่นี้เท่านั้นที่จะมีโอกาสแตะกันได้ และหลายๆครั้งที่รับประทานอาหาร ฟันทั้ง 2 ซี่นี้มักจะกัดถูกกระพุ้งแก้มบ้าง กัดถูกริมฝีปากด้านในบ้างเป็นประจำ ทำให้เป็นแผลอยู่บ่อยครั้ง  เวลาเป็นแผลก็ทรมาน กินอะไรก็ลำบาก ทั้งเจ็บ ทั้งปวด  ซึ่งถึงตรงนี้ ผมเริ่มคิดแล้วว่าอาจจะเป็นกรรมของผมที่เคยทำไว้กับปลา

     และแล้วก็ใกล้จะถึงวันที่ผมจะเลิกตกปลา  วันนั้นเป็นวันพระใหญ่ ถ้าจำไม่ผิดเป็นวัน "อาสฬหบูชา" ซึ่งขณะนั้นผมไม่ทราบว่าเป็นวันพระด้วยซ้ำ  วันนั้นมีอะไรไปดลใจผมก็ไม่ทราบว่า "อยากตกปลา" สายๆผมก็เตรียมเบ็ดพร้อมกับอุปกรณ์ที่จะไปตกปลา "คนเดียว" แต่ผมชวนใคร ก็ไม่มีใครไป (แต่ก็ไม่มีใครบอกผมว่าเป็นวันพระใหญ่  งง) ผมก็เลยไปคนเดียวโดยขี่จักรยานยนต์ไป ที่อ่างเก็บน้ำแห่งหนึ่งที่มีคนมาตกปลาเป็นประจำ  พอผมขี่รถเข้าไปหาที่ตกปลา  ก็ไม่พบคนมาตกปลาเลย ก็รู้สึกแปลกใจมาก แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร  ก็เดินไปหาทำเล ที่จะตกปลา จนไปเจอกับคนๆหนึ่ง น่าจะเป็นชาวบ้านที่มาตกปลาอยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่ทันที่ผมจะลงมือตกปลา ชาวบ้านคนนั้นก็พูดลอยๆว่า ปลาไม่กินเบ็ดเลย เลิกดีกว่า แล้วก็เก็บข้าวของกลับไป  ผมก็รู้สึก งงๆ  แต่ก็ยังลองตกอยู่สักพัก แต่ไม่นาน ก็ไม่มีวี่แววว่าปลาจะกินเบ็ดเลยจริงๆ  ผมก็เลยกลับบ้าน ระหว่างที่กลับบ้านก็แวะหาร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางกิน คนในร้านเห็นผมมีเบ็ดมาด้วย ก็เลยทักว่า "นี่น้องจะไปไหน เอาเบ็ดมาด้วย จะไปตกปลาเหรอ"  ผมก็ตอบว่า ครับ  เค้าเลยตอบผมมาว่า "วันนี้น้องไม่เว้นไว้สักวันหนึ่งเหรอ วันนี้วันพระใหญ่นะ"  ผมสะดุ้ง !! และคิดในใจว่า นานแล้วที่ไม่ได้ตกปลา แต่ทำไมวันนี้ถึงอยากตกปลานัก เกือบทำบาปวันพระแล้วสิเรา

     หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ตกปลาเลย แต่ก็คิดว่ายังไม่เลิก เพราะยังเก็บอุปกรณ์ต่างๆไว้ครบ  จนถึงวันสุดท้ายที่ผมเลิกตกปลาครับ....

     วันหนึ่งพี่สาวชวนหลานๆ ไปเที่ยวสวนของญาติพี่น้องกัน ซึ่งมีสระน้ำไว้เลี้ยงปลาด้วยหลายบ่อ ซึ่งผมก็ไปด้วย และนึกสนุกเอาเบ็ดไปด้วย(เบ็ดฝรั่ง) สระนั้นเลี้ยงปลาสวาย ตัวไม่ใหญ่มาก ประมาณขาผู้ใหญ่ เป็นของญาติคนหนึ่ง  ผมก็ทดลองตกดู โดยญาติๆบ้านผมก็อยากให้ลองตกให้ได้  แต่นานเท่าไหร่ก็ไม่ได้สักที จนจะมืดค่ำ ก็จะพากันกับบ้าน  แต่......ปลาสวายตัวปัญหา ดันกินเบ็ดพอดี !!  ด้วยเบ็ดมีขนาดเล็ก และปลามีขนาดใหญ่ ทำให้ตกขึ้นมาได้อย่างลำบาก และถือว่าเป็นตัวที่ใหญ่ที่สุดที่ผมเคยตกได้ และมันกลายเป็นตัวสุดท้ายที่ผมตกด้วย  เพราะหลังจากที่ตกปลาขึ้นมาได้ คนเฝ้าสวนก็เข้ามาบอกว่า ปลาสวายสระนี้ ตกไม่ได้ ต้องปล่อย  แต่ด้วยเวลาที่ตอนนี้ค่ำแล้ว และการที่จะเอาเบ็ดออกจากปลา ทำได้ลำบากมาก จึงบอกไปว่า เดี๋ยวจะไปบอกเจ้าของสระเองซึ่งเป็นญาติกัน (แต่คนสวนไม่รู้ เพราะเป็นลูกจ้าง) สุดท้ายก็เอาปลากลับบ้าน และมีเรื่องราวทะเลาะกันในหมู่ญาติเรื่องตกปลาตัวนี้ เพราะเจ้าของปลาโกรธและพูดว่าต่างๆนานา  และวุ่นวายจนจะตัดญาติขาดมิตรกันเลยทีเดียว (แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไร) ผมเลยรู้สึกว่าเป็นคนผิด และตั้งใจว่าต่อไปนี้จะไม่ตกปลาอีกต่อไป

     ก่อนหน้านั้นก็ได้ศึกษาธรรมะมาบ้าง แต่ก็ไม่เลิกตกปลา พอมาเจอเหตุการณ์นี้เลยทำให้รู้ว่าเป็นเพราะกรรมในการฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ ทำให้ชีวิตวุ่นวาย จิตใจหม่นหมอง จึงตัดสินใจ นำอุปกรณ์ต่างๆในการตกปลาทั้งหมด มาห่อ และทิ้งถังขยะที่มีรถมาเก็บ โดยไม่อยากให้ใครทราบว่าเป็นอุปกรณ์ตกปลาและนำไปใช้ต่ออีก และตั้งใจว่า จะพยายามหักห้ามใจไม่ตกปลาอีกต่อไป

     หลังจากเลิกตกปลา  ผมรู้ตัวว่า ผมอาจจะยังต้องรับกรรมที่เคยทำไว้กับปลา กับการตกปลาอยู่ ผมพยายามทำบุญให้มาก ทำบุญครั้งใดผมก็จะแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้กับสัตว์ต่างๆที่ผมเคยฆ่า เคยทรมาน โดยเฉพาะปลาต่างๆ ซึ่งผมก็ทำมาเรื่อยๆ    

     สิ่งที่เกิดขึ้น  หลังจากนั้นมา อาการต่างๆ เช่น แผลร้อนในปาก อาการกัดกระพุ้งแก้ม กัดปากตัวเอง เจ็บคอ มีแผลในปาก ลิ้น ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนานๆจะพบสักทีหนึ่ง ซึ่งคงเป็นเรื่องปกติของคนทั่่วไป  ผมจึงเชื่อสนิทว่า ที่ผ่านมานั้นเป็นผลกรรมของผมนั่นเอง

     บทความนี้ไม่มีลิขสิทธิ์ หากท่านใดจะเอาไปเผยแพร่ เพื่อให้บุคคลทั่วไปได้รับทราบถึงผลกรรมที่เราทำกับผู้อื่น สัตว์ ฯลฯ แล้วได้สติ ไม่กระทำในสิ่งที่ไม่ดี เหมือนกับที่ผมได้กระทำมา ผมก็ขออนุโมทนาบุญด้วย และด้วยกุศลผลบุญในการเขียนบทความในครั้งนี้ ผมขออุทิศผลบุญนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรของผม โดยเฉพาะพวกปลาทั้งหลายที่ผมได้ฆ่า ได้ทรมาน ในกาลที่ผ่านมา  และถ้าหากพวกเค้ารับรู้ ผมอยากจะบอกพวกเค้าว่า ผมสำนึกผิดแล้ว และจะไม่กระทำเช่นนั้นอีกต่อไป.

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ภาพกิจกรรม การทอดกฐิน ณ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรราชวิทยาลัย(ติดกับวัดพนมขวัญ)

การทอดกฐิน ม.จุฬาลงกรราชวิทยาลัย 21-09-2557

การทอดกฐิน ม.จุฬาลงกรราชวิทยาลัย 21-09-2557

การทอดกฐิน ม.จุฬาลงกรราชวิทยาลัย 21-09-2557

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การก่อสร้างพระเจดีย์พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ เฉลิมพระเกียรติ ร.๙ (21 ก.ย.2557)

ณ วันที่ 21 กันยายน 2557
ติดป้ายเชิญชวนร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรัตนธาตุเจดีย์ เฉลิมพระเกียรติ ร.๙

ณ วันที่ 21 กันยายน 2557 อีกมุมมองหนึ่ง

ณ วันที่ 21 กันยายน 2557 อีกด้าน
     การก่อสร้างพระเจดีย์พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ เฉลิมพระเกียรติ ร.๙  ณ  ปัจจุบันก็ยังคงมีการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มีอยู่เป็นสำคัญ  ซึ่งทางวัดจะดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จอย่างแน่นอน แต่ยังไม่ทราบว่าเมื่อใด  เพราะปัจจัยหลักที่นำมาเป็นค่าก่อสร้างนั้น ก็ได้จากเงินบริจาคของพุทธศาสนิกชนที่ศรัทธาเป็นสำคัญ

     จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมทำบุญ สร้าง พระเจดีย์พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ เฉลิมพระเกียรติ ร.๙ ณ วัดพนมขวัญ จังหวัดแพร่ เพื่อเป็นมหากุศลให้กับตัวท่านเองและครอบครัว ด้วยบุญกุศลนี้จะส่งผลให้ท่านทั้งหลายประสบแต่ความสุขความเจริญทุกๆด้านในปัจจุบันและอนาคตสืบต่อไป.

วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อันว่าชีวิตสัตว์โลก !! ช่างสั้นนัก

ลูกแมวตายตอนคลอด
"อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"

     เมื่อนานมาแล้ว ได้เก็บภาพซากลูกแมวพร้อมกับ รก ที่นอนตายกลางลานจอดรถแห่งหนึ่ง เมื่อมองเห็นแล้วรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นในจิตใจ เป็นความรู้สึกที่บอกได้ยาก แต่เมื่อลองคิดพิจารณาดู มันช่างเหมาะกับคำๆนี้เหลือเกิน "ชีวิต.. สุดท้ายก็แค่นี้หรือ..?"


     สรรพสัตว์ที่เกิดมาในโลกนี้ ช่างโง่เขลาเสียเหลือเกิน เหมือนคนตาบอดที่ชอบบอกกับตัวเองว่ารู้ ว่าเห็นในทุกๆสิ่ง แต่แท้จริงแล้ว มีเพียงไม่กี่หยิบมือที่ค้นพบวิธีรักษา ตาที่บอดนั้น ให้หาย และรู้ถึงความเป็นจริงแท้ที่ถูกปิดบังมาเนิ้นนาน.. หากเรารู้ตัวว่ายังเป็นผู้ที่ตาบอด และรู้ว่ามีคนที่ตาดีอยู่ในโลกนี้ สิ่งที่เราควรทำก็คือ.. ไปถามท่านว่า "เราจะรักษาตาบอดได้อย่างไร ?"

     ชีวิตสัตว์ในโลกนี้ รวมถึงมนุษย์ที่ภาคภูมิใจในตัวเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ มีอายุขัยไม่เท่ากัน มากบ้าง น้อยบ้าง ตามแต่ละชนิด  ซึ่งแม้แต่ชนิดเดียวกันก็ยังมีชีวิตที่ยืนยาวไม่เท่ากัน มนุษย์บางคนเกิดมายังไม่ทันได้ลืมตา ก็ด่วนเสียชีวิตไป  มนุษย์บางคนอายุยืนยาวอย่างน่าเหลือเชื่อแต่มีชีวิตในแต่ละวันช่างทุกข์ยากแสนเข็ญ  มนุษย์บางคนตลอดชีวิตมีแต่ความสุขสบายทั้งกายใจจึงอยากอยู่ดูโลกนี้ไปนานๆ แต่กลับอายุสั้น  มนุษย์บางคนพ่อแม่เลี้ยงดูมาด้วยความยากลำบาก แต่ด้วยช่วงชีวิตที่ผิดหวังในบางเรื่อง กับถึงกับฆ่าตัวตาย ไม่เสียดายชีวิตที่พ่อแม่มอบให้  มนุษย์บางคนใช้ทั้งชีวิตเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นให้มีความทุกระทมเสมอ มีแต่คนสาปแช่งให้ตาย แต่ก็ไม่ตายสักที  มนุษย์บางคนเป็นคนดีชั่วชีวิต ถือศีล ปฏิบัติธรรม แต่เวลาเสียชีวิตกับเจอการเสียชีวิตแปลกๆ เช่น รถชน ตกต้นไม้ โดนงูกัด ฯลฯ จนถูกแม้แต่พวกขี้เมาหัวเราะใส่ว่า "สู้เป็นขี้เมาดีกว่า ตายช้า ไม่เหมือน พวกเข้าวัดเข้าวา ตายไว"

     การมีชีวิตอยู่ หรือการเสียชีวิต ของสรรพสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะมนุษย์นั้น มันมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่าที่ตาเราเห็น หรือหูที่เราได้ยิน อย่าตัดสินมนุษย์ว่าคนๆนั้น "ดี" หรือ "ไม่ดี"ด้วยลักษณะการเสียชีวิต

     ข้าพเจ้าได้ยินบ่อยๆ จากผู้คนทั่วไป ว่าคนนั้น คนนี้ เข้าวัด ฟังธรรม ถือศีล แปปๆ อายุไม่เท่าไหร่ ถูกรถชนตายซะแล้ว !!   ดูนั่นสิ ดูขี้เมาตรงโน้นสิ  วันๆไม่ทำอะไร  ไม่ขโมยของ, แกล้งหมา, ก็เอาแต่เมาทั้งวัน  ตั้งแต่หนุ่มจนแก่แล้ว ยังไม่ตายสักที !!  ซึ่งจากคำพูดที่ได้ยินบ่อยๆจากหลายๆปากมักจะเป็นประมาณนี้ทั้งนั้น  ก็เพราะมนุษย์เราใส่ใจกับ "การตาย มากเกินไป" จนนำการตายมาตัดสิน "คุณค่าของมนุษย์คนนั้นๆ"  ว่าสิ่งที่ทำในช่วงชีวิตที่มีอยู่ นั้นควรทำหรือไม่ ?  ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดอย่างยิ่ง !!

    สรรพสัตว์ทั้งหลายโดยทั่วไป  ไม่รู้วันเกิด  ไม่รู้วันตาย (วันเกิด..ถ้าพ่อแม่, ญาติของเรา ไม่บอกเรา เราก็คงจะไม่ทราบ)  แต่รู้ว่าขณะนี้เรากำลังทำอะไรอยู่  ทำดี หรือ ทำเลว แล้วถ้าหากท่านเชื่อในพุทธศาสนา ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วแล้ว.. ท่านคงจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า ควรทำอะไร ?  มากกว่า.. จะไปสนใจว่าจะตายเมื่อไหร่?  จะตายอย่างไร?

     เพราะชีวิตนี้มันช่างสั้นนัก !!  คำตอบที่คุณค้นหาอาจจะอยู่หลังจากความตายแล้วก็เป็นได้ !!